เสียงคำรามของท้องฟ้าที่ดังสนั่นหวั่นไหว ช่วยปลุกคืนที่เงียบสงัดให้ตื่นจากภวังค์ราวกับราตรีที่ยาวนานได้ผ่านพ้นไป จะว่าไปแล้วก็เหมือนดังความสุข ที่มักอยู่กับเราแค่ไม่นาน ใช่ เหมือนกับ wonderland
เสียงคำรามของท้องฟ้าที่ดังสนั่นหวั่นไหว ช่วยปลุกคืนที่เงียบสงัดให้ตื่นจากภวังค์ราวกับราตรีที่ยาวนานได้ผ่านพ้นไป จะว่าไปแล้วก็เหมือนดังความสุข ที่มักอยู่กับเราแค่ไม่นาน ใช่ เหมือนกับ wonderland
เมื่อสตินางแวมไพร์กลับมาได้
เธอก็เลิกเข้าโจมตีแบบบ้าระห่ำอย่างเมื่อครู่แล้ว
ก่อนจะใช้สายตาจับจ้องเพื่อนอ่านทางเวทย์มนต์ของฝ่ายตรงข้าม
และด้วยประสบการณ์ที่โซกโซน
แค่ครู่เดียวเธอก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เวทย์ของพรีสสาวนั้น
แม้จะสามารถป้องกันได้ดี แต่ก็ไม่มีพลังที่จะโจมตีเลย
ต้องรอให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีก่อนเท่านั้น และที่สำคัญ
เวทย์มนต์ประเภทเน้นรับเช่นนี้ย่อมมีข้อจำกัดอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ที่ไม่สามารถกางได้ตลอด
หรือถ้ารับการโจมตีมากเกินไป ก็จะแตกสลายไปเอง
เมื่อคิดได้ดังนี้นางแวมไพร์ก็เผยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมออกมา
ก่อนที่เธอจะเริ่มเข้าโจมตีอีกครั้ง
แต่คราวนี้เธอเปลี่ยนจากใช้เศษอิฐเศษปูน
มาเป็นของที่ใหญ่กว่า อย่างเช่น อาคารเล็กๆทั้งหลัง
และก็เป็นไปตามที่เธอคาด
พรีสสาวถึงกลับหน้าตาตื่นตกใจ
ที่ต้องรับมือกับอาคารทั้งหลัง
เธอกวัดแกว่งบานกระจกขึ้นมา
เพื่อสะท้อนเอาอาคารหลังนั้นกลับไป
แต่แรงกระแทกที่มีมหาศาลคราวนี้
กระแทกเอาร่างทั้งร่างของเธอลอยกระเด็นไปเช่นกัน
"ท่าทางให้รับทั้งหลังมันคงลำบากสิน่ะ"
แวมไพร์สาวยิ้มเยาะอย่างสะใจ
เมื่อเธอเห็นกว่าการโจมตีนี้ได้ผล
อาคารอีกหลายหลังบริเวณนั้นก็โดนแวมไพร์สาวถอน
แล้วเอามาทุ่มใส่ไปที่ร่างวิเวียนอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งพรีสสาวก็ทำได้แค่เพียง
กระแทกอาคารเหล่านี้กลับอย่างทุกลักทุเล
"สารรูปทุเรศจริงๆ เวทย์ของเจ้ามันก็แค่นี้สินะ
ทำได้แค่คอยรับโดยไม่อาจตอบโต้ได้"
ชอลลี่ตะโกนร้องอย่างย่ามใจ
ก่อนที่คราวนี้จะทุ่มใส่ทีเดียว 3 อาคาร
เล่นเอาวิเวียนไม่อาจจะใช้เวทย์รับได้ไหว ต้องใช้เวทย์ลม
พาร่างพุ่งหลบอย่างล้มลุกคลุกคลาน
ชอลลี่หัวเราะอย่างสะใจ
ก่อนที่ร่างน้ำนั้นจะก้าวเข้าไปประชิด
ตัวพรีสสาวที่กำลังค่อยๆลุกขึ้นมา
ในมือของเธอก็แบกเอาอาคารขนาดย่อมๆไว้
เพื่อเตรียมฟาดเข้าใส่ศัตรูที่อยู่เบื้องล่าง
ในขณะที่วิเวียนเงยหน้ามองขึ้นไป
พร้อมกับเอ่ยคำถามคำหนึ่งออกมา
"เจ้ารู้ไหมกระจกมีคุณสมบัติอะไรบ้าง"
นางแวมไพร์หน้านิ่วไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้
เมื่อนางแวมไพร์ไม่ตอบ วิเวียนก็เลยเอ่ยเฉลย
" 1 สะท้อนแสง และ 2 รวมแสง"
ทันทีที่วิเวียนพูดจบ ชอลลี่ก็รู้สึกถึงอันตรายในทันที
เธอจึงเงื้อมือขึ้นเพื่อจะฟาเอาคารหลังนั้นลงพื้น
แต่นั่นก็ช้าไปเสียแล้ว
เพราะวิเวียนเงยบานกระจกขึ้นพร้อมกับร่ายเวทย์ดังลั่น
"กระจกเงาหมื่นดารา สาดแสง"
พริบตานั้นแสงสว่างจ้าก็เปล่งออกมา
จากกระจกเงาแล้วก็ฉายเข้าไปบริเวณใบหน้า
และลำตัวของชอลลี่ทันที
นางแวมไพร์ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด
ก่อนจะผงะถอยหลังไปหลายก้าว แต่วิเวียนก็ยังไม่หยุด
ยังตามไปสาดแสงใส่อย่างไม่ปราณี
จนเผยให้เห็นร่างแท้จริงของชอลลี่
ที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางร่างน้ำ กำลังโดนไฟลุกไหม้
ซึ่งร้อนแรงขนาดที่ทำเอาร่างน้ำที่ล้อมรอบอยู่ใกล้กัน
นั้นเดือดปุดๆจนร้อนระเหยกลายเป็นไอ
ที่แท้เวทย์กระจกเงายังมีคุณสมบัติอีกอย่างที่ซ่อนอยู่
คือทุกครั้งที่มันรับการโจมตีของศัตรู
นอกจากมันจะสะท้อนเวทย์เหล่านั้นกลับไปแล้ว
มันยังรวบรวมพลังเหล่านั้นเก็บไว้ด้วย
และเมื่อที่มันรวมพลังจนเต็มที่แล้ว มันก็จะเปล่งแสงออกมา
แสงนี้เป็นแสงที่เกิดจากเวทย์ธาตุแสงสว่าง
จึงมีผลทำลายโดยตรงกับร่างของแวมไพร์
ทำให้ชอลลี่ที่แม้จะได้รับการป้องกันด้วยร่างน้ำ
ก็ต้องลุกไหม้กลายเป็นกองไฟอยู่ดี
"กรี๊ดดดดด !!" ชอลลี่หวีดร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเธอจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ทันทีที่ร่างจริงถูกทำลาย
ร่างน้ำที่ห่อหุ้มโดยรอบก็เกิดปฏิกิริยาเช่นกัน
ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างน่ากลัวก่อนที่จะระเบิดออกอย่างรุนแรง
เกิดคลื่นน้ำขนาดยักษ์ซัดทำลายทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านไม่มีเหลือ
ไม่เว้นแม้แต่วิเวียนที่โดนคลื่นน้ำซัด จนจมหายไปกับสายน้ำ
ครืนนนนนน !!
เมฆฝนก้อนใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าคำรามลั่น
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจเมฆฝนเหล่านี้
ก็กลั่นตัวลงมายังพื้นเบื้องล่าง
จนตอนนี้เมืองทั้งเมืองชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดฝน
แต่ไม่ว่าฝนจะตกสักเท่าไหร่
ก็ไม่อาจดับไฟสงครามที่กำลังโหมประทุได้เลย
ซ้ำร้ายไฟสงครามนี้กลับโหมหนักยิ่งกว่าเก่า
เพราะแต่ล่ะฝ่าย ต่างก็เพิ่มกำลังคนมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ
ฝ่ายพรีสใช้วิธีเรียกระดมพลให้พรีสทั้งหมดมารวมกันที่หน้าโบสถ์
ส่วนฝ่ายแวมไพร์ก็ได้กำลังสนับสนุนจากทหารชุดที่สองมาช่วยเสริม
จนตอนนี้ขนาดของวงสงครามขยายตัวยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ
"คร๊อกๆๆๆ" แต่ห่างออกไปจากจุดปะทะ
ร่างของพรีสสาวผมสีเงินที่นอนสลบอยู่กลางแอ่งน้ำ
ค่อยๆพื้นสติขึ้นมาอีกครั้ง
และสิ่งแรกที่เธอทำก็คือการสำรอก
เอาน้ำที่คั่งค้างในลำคอออกมาให้หมด
นับว่าคลื่นน้ำเมื่อครู่นี้ก็สร้างปัญหากับเธอไม้น้อย
แม้มันจะไม่ร้ายแรงถึงกับทำให้เธอบาดเจ็บหนัก
แต่มันก็ทำเธอสลบไปพักใหญ่เลยทีเดียว
"จ๋อมๆๆ" แม้ชอลลี่จะสิ้นชีพไปแล้ว
แต่ร่างน้ำที่เกิดจากเวทย์ของเธอก็ยังคงอยู่
แม้มันจะไม่สามารถก่อตัวเป็นรูปร่างได้แล้ว
แต่มันก็ส่งผลให้พื้นที่โดยรอบเจ่อนองไปด้วยน้ำท่วมขัง
สูงขึ้นมาประมาณข้อเท้า ซึ่งนี่ก็เป็นตัวส่งสัญญาณชั้นดี
ที่บอกพรีสสาวให้รับรู้ว่า กำลังมีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ
"เวโรนิก้า !!" วิเวียนเอ่ยขึ้น ที่แท้ผู้ที่ก้าวเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน
เป็นแวมไพร์คู่ปรับของเธอนี่เอง
"ไม่เจอกันไม่กี่วัน พัฒนาขึ้นเยอะเลยนี่
ถึงขนาดฆ่าแวมไพร์ชั้นขุนพลได้ด้วย"
เวโรนิก้ากล่าวขึ้นก่อนที่จะขยับดาบซามูไรในมือ
เพื่อเตรียมพร้อมที่จะใช้งาน
"กระจกเงาหมื่นดารา"
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคู่ปรับที่เคยปะทะกันมา
วิเวียนก็ไม่รอช้าที่จะร่ายเวทย์ของตนขึ้นมาทันที
ด้วยเวทย์ธาตุแสงสว่างบทนี้
มันทำให้เธอมั่นใจอย่างมาก
ไม่ว่าที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นแวมไพร์ที่ร้ายกาจแค่ไหน
เพราะถ้าเป็นแวมไพร์ก็ต้องแพ้ทางแก่ธาตุแสงสว่างของเธออยู่ดี ........
แต่แล้ว !!
"เผล้งงงงงง !!!!!"
แต่ไม่ทันที่กระจกเงาจะก่อตัวสำเร็จ
ชั่วพริบตานั้นกระจกเวทย์ก็กลับแตกสลายลงเบื้องหน้าวิเวียน
ทำเอาเธอร้องออกมาหนึ่งคำด้วยความตกใจ
ส่วมแวมไพร์สาวที่อยู่เบื้องหน้า
ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ เธอพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง
ก่อนจะชักดาบเข้าฟันใส่ในทันที !! ยังดีที่วิเวียนยังพอมีสติ
เธอจึงกระโดดถอยฉากได้ทัน
ดาบนี้ของแวมไพร์สาว
จึงทำได้เพียงแค่เรียกเลือดจากเธอแค่เล็กน้อยเท่านั้น
"หึๆๆๆ" เวโรนิก้าหัวเราะออกมาเบาๆ
แม้ดาบแรกเธอจะพลาดไปเล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
เธอตั้งดาบในท่าใหม่ด้วยการถือดาบด้วยมือขวา
ในลักษณะตั้งฉากกับพื้น
มือซ้ายเอื้อมไปเบื้องหน้าเพื่อประครองดาบเบาๆ
ส่วนเท้าซ้ายก็ขยับเบาไปข้างหน้าเพื่อเตรียมพร้อมจะพุ่งเข้าจู่โจม
การตั้งดาบเช่นนี้เป็นการตั้งดาบของท่าทะลวง
ซึ่งเป็นกระบวนท่าหนึ่งของเพลงดาบญี่ปุ่นที่เธอได้รับการฝึกฝนมา
'ทำไมกัน ทำไมเราใช้เวทย์มนต์ไม่ได้'
วิเวียนเอ่ยเบาๆกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
แต่เธอก็ไม่มีเวลามามัวสงสัยอะไรอีกแล้ว เพราะพริบตานั้น
แวมไพร์สาวที่อยู่ตรงหน้าก็พุ่งดาบเข้าใส่เธอทันที
ไม่ใช่แค่วิเวียนเท่านั้น
แต่พวกพรีสที่อยู่ในจุดปะทะก็ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน
เดิมทีพวกเขากำลังมั่นใจเต็มที่ว่าจะปราบเหล่าแวมไพร์ได้
เนื่องจากฝ่ายตนมีจำนวนมากกว่า
แต่เมื่ออยู่ๆเวทย์มนต์ก็ใช้ไม่ได้เช่นนี้
ความมั่นใจเมื่อครู่จึงจางหายไปหมด
กลายเป็นความตื่นตกใจระส่ำระสายจน
ไม่อาจจะคงรูปกระบวนทัพเช่นเดิมอีกต่อไปได้
ในขณะที่พวกแวมไพร์
แม้พวกเขาจะใช้เวทย์มนต์ไม่ได้เช่นกัน
แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
จึงมีการเตรียมพร้อมไว้อย่างดี
พวกเขาต่างหยิบยกเอาอาวุธต่างๆที่เตรียมมาขึ้นมากวัดแกว่ง
พร้อมกับกู่ร้องคำรามลั่น ก่อนที่แวมไพร์เหล่านั้น
จะพุ่งกระโจนเข้าหาและไล่ล่าสังหารเหล่าพรีส
จนฝ่ายพรีสล้มตายไปตามๆกัน
"พวกแกทำอะไร !!"
พรีสชั้นสูงที่เป็นคนบัญชาทัพมาถึงตอนนี้เอ่ยร้องเสียงหลง
"หึ" ฝ่ายแวมไพร์ที่ถูกถามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น วิคตอเรีย
นางสนมอันดับหนึ่งของเจ้าชายทีโอดอร์นี่เอง
เธอยิ้มเยาะเล็กน้อย กับคำถามที่ได้รับ
ก่อนที่นางแวมไพร์จะชักปืนพกออกมา แล้วลั่นไกเข้าใส่ทันที