"บางครั้ง ความลับที่เราไม่อาจหยั่งถึงก็คืบคลานผ่านเงามืดของลอนดอน"
"บางครั้ง ความลับที่เราไม่อาจหยั่งถึงก็คืบคลานผ่านเงามืดของลอนดอน"
บทที่ 10 : ผู้รุกราน (2)
“ถ้าผมจะอ้างคำวิเคราะห์อันลึกซึ้งของผู้ช่วยผม” เลียมกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ผมคงสรุปได้ว่า จุดหมายปลายทางสุดท้ายของคดีฆาตกรรมนี้คือบิ๊กเบน”
“หอคอยนั้นสูงเด่น มองเห็นได้แม้จากนอกเมือง สำหรับคนประเภทนั้นบิ๊กเบนคือสัญลักษณ์ที่ ‘ชวนลิ้มลอง’ อย่างยิ่ง” ลูซิตาพูดพลางยิ้มบาง ก่อนจะหันมามองฉันอย่างพิจารณา “และคุณหนูคนนี้ก็ถูกใจฉันในหลายด้านทีเดียว ฉลาด น่ารัก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงถนอมเธอขนาดนี้ ถึงกับให้เธอปลอมตัวเป็นผู้ชาย กลัวว่าฉันจะพาเธอไปหรือไงนะ เลียมผู้น่าสงสาร”
“พอเถอะ!” เลียมตวาดเสียงดัง เป็นภาพที่พบได้ยากยิ่ง เลียม มัวร์ผู้เย้ยหยันโลกทั้งใบกำลังหน้าแดงและเสียอาการอย่างชัดเจน
ลูซิตาหัวเราะอย่างเกียจคร้าน เอาคางเท้าบนฝ่ามือ มองเขาด้วยแววตาสนุกสนาน ก่อนจะพูดขึ้น
“นี่เป็นฝีมือของมนุษย์ ฉันเข้าใจว่าคุณสงสัยพวกเรา…รวมถึงกลุ่มอื่น ๆ แต่เรื่องนี้เป็นฝีมือของมนุษย์”
“หรือไม่ก็พวกที่ร่วมมือกับมนุษย์” เลียมโต้กลับทันที “พวกนั้นอาจมีแรงจูงใจของตัวเอง ลูซิตา”
ดวงตาของหญิงสาวที่ละมือจากคางแล้วเปล่งประกายเย็นเยียบ แก้มของเธอสะท้อนแสงราวโอปอล แต่รอยยิ้มก่อนหน้าหายไปสิ้น ภาพนั้นทำให้ฉันเผลอสะดุดใจเพราะมันแตกต่างจากท่าทีอ่อนโยนสงบเสงี่ยมของเธอเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“บอกผมหน่อย” เลียมถามอีกครั้ง ไม่สะทกสะท้านต่อแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากเธอ “ความเป็นไปได้ที่บทเพลงต้องห้ามจะถูกบรรเลงมีมากแค่ไหน”
“ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดโง่พอจะทำเช่นนั้นตราบใดที่ยังมีสติอยู่!” ลูซิตาตอบเสียงแข็ง
“แต่พวกที่รับใช้ราชาแห่งอีกามักจะรักษาสติไว้ไม่ได้” เลียมสวนกลับ
“ชมรมแสนรักของคุณก็ไม่ต่างกัน!” ลูซิตาโต้กลับอย่างเฉียบคม
เลียมสูดลมหายใจลึกอยู่ครู่หนึ่งเพื่อควบคุมอารมณ์ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมมาถาม ใครกันที่เล็ดรอดสายตาของเมอริเดียนไปได้”
เมอริเดียน?
ฉันหรี่ตาลงเล็กน้อย สมุดบันทึกของฉันยังคงบันทึกบทสนทนาทุกคำอย่างซื่อสัตย์ แต่ศัพท์เฉพาะเหล่านี้กลับยากเกินจะตีความ มันให้ความรู้สึกราวกับฉันกำลังพยายามมองหาเรือลำเดียวในทะเลที่มีพายุโหมกระหน่ำ
หลังจากความเงียบยาวนาน ในที่สุดลูซิตาก็เป็นฝ่ายยอมอ่อนลง “ห้าสิบเปอร์เซ็นต์” เธอกล่าวช้า ๆ “ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกนักปราชญ์ โอกาสอาจสูงกว่านั้น ฉันจะบอกตำแหน่งของผู้ต้องสงสัยให้คุณ หากคุณไปพบพลูริทิตัสและได้คำตอบมา”
“ส่งข้อมูลไปที่ถนนไบโลนซ์หมายเลข 13” เลียมตอบทันที “ผมจะส่งคำตอบกลับไปให้ภายหลัง”
เขาลุกขึ้นอย่างฉับพลันราวกับไม่มีอะไรต้องพูดต่ออีกแล้ว เลียมยื่นมือมาให้ฉันทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องอุปกรณ์ค้นหาประหลาดเหล่านั้นแม้แต่น้อย
เขาไม่พูดอะไร แต่ฉันรู้ เขากำลังโกรธมาก
ฉันก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการลาลูซิตา ก่อนจะจับมือเลียม
“เลียม มัวร์”
เสียงของลูซิตาดังขึ้นขณะที่เรากำลังจะก้าวออกไป แม้เขาจะไม่ตอบแต่การหยุดฝีเท้าก็เป็นคำตอบในตัวมันเอง
“การหลบซ่อนนานเกินไปไม่ช่วยอะไรหรอก เพื่อความปลอดภัยของคุณ…ทำตามคำแนะนำของฉันเถอะ”
“ผมจัดการเรื่องของผมเองได้”
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น
ทางเดินที่ดูยาวราวไม่รู้จบตอนขาเข้ามากลับสั้นอย่างน่าประหลาดในตอนออกไป ไม่มีสิ่งใดขัดขวางเรา เลียมพาฉันออกมาจากบ้านราวสัตว์ร้ายหลังนั้น และเมื่อพ้นประตูเราทั้งคู่จึงได้สูดลมหายใจเต็มปอดเสียที
เลียม มัวร์กลับมาเป็นตัวเอง ท่าทีผ่อนคลายและกึ่งหยอกล้อ แม้ฉันยังอ่านใจเขาไม่ออกทั้งหมด แต่ก็รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดถึงบทสนทนาก่อนหน้า
“เราต้องไปพบพลูริทิตัส”
เขาพึมพำคล้ายถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
“แล้วเขาเป็นใครกันแน่คะ” ฉันถาม
“นักวิทยาศาสตร์บ้าคลั่งคนหนึ่ง เจน” เลียมตอบอย่างตรงไปตรงมา
“คุณอาจไม่ชอบเขามาก…ไม่สิ อาจถึงขั้นรังเกียจ ความหมกมุ่นในความรู้ของเขารุนแรงเกินไป”
แต่คำเตือนนั้นไม่ทำให้ฉันหวาดหวั่น ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าสถานการณ์ที่ฉันกำลังเผชิญอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกัน หน้าต่างภารกิจด้านขวาของสายตาฉันก็อัปเดตข้อความใหม่
[นักวิทยาศาสตร์บ้าคลั่ง: พูดคุยกับพลูริทิตัส]
ฉันเกือบจะรู้สึกโล่งใจ ถ้าเขาสมควรถูกชิงชังฉันก็ยินดีจะมอบมันให้ แต่ในขณะเดียวกันฉันก็เข้าใจดีถึงแรงปรารถนาอันเร่าร้อนต่อความรู้
เลียม มัวร์รู้จักเจน ออสมอนด์
แต่เขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉัน
ไม่มีใครครอบงำฉันได้เท่าความปรารถนาและความหมกมุ่นของตัวฉันเอง
เขาจำเป็นต้องร่วมมือกับเรา ใช่…และเราจะ ดึงมันออกมา
ความจริง
นักวิทยาศาสตร์บ้าคลั่ง พลูริทิตัส มีคฤหาสน์อยู่บนถนนมิเนต อเวนิว ในเขตเฮเลเดน ตามคำบอกของเลียมเขาเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมเป็นประกาย และมีความหิวกระหายต่อความรู้อย่างไม่รู้จักพอ เป็นคนที่น่ารังเกียจเสียจนเลียมย้ำว่าฉันคงไม่ชอบเขาแน่
รถม้าสีดำโยกไหวไปตามถนน เรานั่งเผชิญหน้ากันอย่างเงียบงัน มุ่งหน้าไปพบใครบางคนที่อาจเป็น “พวกเดียวกับฉัน” ในดวงตาสีเทาของเลียมมีแววรู้สึกผิดบางอย่าง อาจเป็นเพราะเขาพาฉันมาพัวพันกับเรื่องนี้ เขาดูเหมือนจะอยากพูดอะไรหลายครั้ง แต่ก็กลืนมันลงไปทุกที
“คุณมีอะไรจะพูดหรือเปล่า” ฉันถามในที่สุดด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
เขากลับเม้มปากแน่น ราวเด็กที่ถูกดุ
ฉันเริ่มรู้สึกโกรธเขานิดหน่อย แต่ก็รู้ดีว่ามันช่วยอะไรไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อไรฉันถึงรู้เรื่องพวกนี้มากขนาดนี้? ตั้งแต่เมื่อไรฉันถึงเริ่มใส่ใจเรื่องของเลียม มัวร์?
ปล่อยผ่านไปน่าจะดีต่อสุขภาพจิตของฉันมากกว่า
เลียมคงคอแห้งจากความตึงเครียด เขากระแอมบ่อย ๆ ก่อนจะหยิบกระติกเงินขึ้นจิบ
“ชาไหม?” ฉันถาม
เขาพยักหน้า พร้อมรอยยิ้มเลือนราง
ไม่นาน รถม้าคันเก่าก็แล่นเข้าสู่แนวบ้านเรือน คฤหาสน์ปลายทางปรากฏอยู่หลังรั้วเหล็กดัดสีดำอันสง่างาม
เฮเลเดนเป็นย่านที่อยู่อาศัย จึงไม่แปลกจะมีบ้านหรูเช่นนี้ แต่คฤหาสน์หลังนี้กลับให้ความรู้สึก “ไม่เข้าพวก” อย่างประหลาด
เลียมกระโดดลงจากรถโดยไม่ใช้บันได แล้วหันมายื่นแขนให้ฉัน ไม่ใช่เวลาจะถือตัว ฉันรับความช่วยเหลือของเขาอย่างเต็มใจ เขายิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นฉันยอมพึ่งพาก่อนที่ฉันจะแกล้งสะกิดสีข้างเขาเบา ๆ
ที่นี่สว่างและเป็นมิตรกว่าคฤหาสน์ของลูซิตามาก แต่ฉันกลับรู้สึกไม่สบายใจกับผู้คนในโถงทางเข้า
เลียมสังเกตเห็นไหมนะ? แม้แต่พ่อบ้านก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ชายชราผู้ดูใจดีทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดจนทักทายออกมาอย่างติดขัดซึ่งไม่เหมือนนิสัยฉันเลย ปกติฉันเข้ากับผู้สูงอายุได้ดีเสมอ
พ่อบ้านผู้นั้นแต่งกายเรียบร้อยไร้ที่ติจนแทบอ่านอารมณ์ไม่ออก ฉันเดาได้เพียงจากท่าทางเดินที่ไม่สมดุลนักว่าเขาอาจใช้ขาเทียม
เขาสุภาพอย่างยิ่ง พูดซ้ำ ๆ ว่านายท่านยินดีที่เรามาเยือน จนในที่สุด ราก็ได้พบพลูริทิตัส
ห้องทำงานของเขาเย็นยะเยือกมากกว่าน่าอยู่ ความรู้สึกนั้นคล้ายกับโถงทางเดินในคฤหาสน์ของลูซิตา ยิ่งเดินลึกเข้าไปบนพรม ความเย็นก็ยิ่งซึมขึ้นมา ราวกับเดินเข้าไปในแผนกผักสดของตลาด
เมื่อฉันสะท้านเล็กน้อย เลียมโอบไหล่ฉันไว้ชั่วครู่ก่อนจะผละออก ความอบอุ่นสั้น ๆ นั้นช่วยให้ฉันตั้งสติและมองไปรอบ ๆ ต่อได้
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือชั้นวางของสูงจรดเพดาน เรียงรายไปทั่วห้อง ราวกับผนังทั้งหมดถูกสร้างจากตู้จัดแสดง
หลังบานกระจกคือทรงกระบอกสูงราวหนึ่งฟุต เรียงแน่นขนัด ทุกชิ้นมีลวดลายสามเหลี่ยมหน้าจั่ว แต่ทึบแสง มองไม่เห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ภายใน
พลูริทิตัส
ชายหนุ่มในชุดสูทเนี้ยบ ผมหวีเรียบเป็นระเบียบ อายุไม่น่าเกินยี่สิบกลาง ๆ ถึงปลาย ๆ เขาดูคล้ายที่ปรึกษามากกว่านักวิทยาศาสตร์ ยามยิ้มจะเห็นลักยิ้ม ดูเป็นมิตร และน่าจะเป็นที่นิยมในหมู่ผู้คน
รูปลักษณ์ของเขาไม่เข้ากับคำว่า “บ้าคลั่ง” เลย แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้ฉันระแวง อาจเป็นสายตาที่ไม่ยอมละจากเป้าหมาย
“ผมไม่คิดว่าคนที่อ้างว่ารู้ทุกอย่างจะต้องมาหาเราด้วยตัวเอง”
ดวงตาสีฟ้าเรืองแสงราวนีออนจับจ้องมาที่เรา เขามองเลียมด้วยท่าทีต้อนรับปนรำคาญก่อนจะก้าวเข้ามา ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงเล็กน้อย เขาสูงกว่าเลียมเกือบหนึ่งศีรษะ อย่างน้อยก็เกินเจ็ดฟุต
ชายผู้นั้นพึมพำเสียงต่ำ
“ด้วยสติปัญญาขนาดนั้น ชคุณน่าจะบรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ต้องพึ่งคำแนะนำของพวกเรา”
เลียมยิ้ม เผยฟันอย่างไม่เป็นมิตรนัก
“คดีนี้…ต้องการความร่วมมือจากคุณเล็กน้อย”