Your Wishlist

ถนนไบโลนซ์ 13 (บทที่ 9 : ผู้รุกราน (1))

Author: คิมซงโร / BuaElla แปล

"บางครั้ง ความลับที่เราไม่อาจหยั่งถึงก็คืบคลานผ่านเงามืดของลอนดอน"

จำนวนตอน : 220

บทที่ 9 : ผู้รุกราน (1)

  • 20/12/2568

บทที่ 9 : ผู้รุกราน (1)

 

รถม้าพาเรามาถึง วิทมอร์ การ์เดนส์ หลังจากเดินทางราวยี่สิบนาที เข็มนาฬิกาใกล้แตะสี่โมงเย็นพอดี

 

ย่านนั้นเต็มไปด้วยอาคารแฟลตสามถึงสี่ชั้นเรียงราย ป้าย “ให้เช่า” แขวนอยู่เกือบทุกหลัง ทำให้บรรยากาศทั้งถนนชวนให้รู้สึกวังเวงอย่างประหลาด

 

บางบ้านมีแสงไฟส่องลอดม่านที่ถูกดึงปิดแน่น เงาคนขยับวุ่นอยู่ภายใน เหมือนครอบครัวใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ในโลกของตนเอง

 

‘คงเป็นบ้านครอบครัวใหญ่สินะ’ ฉันคิด แต่สีหน้าของเลียมกลับบอกอย่างอื่น เขายื่นมือไปปัดฝุ่นที่แผ่นป้ายชื่อ แล้วพึมพำบางคำที่ฉันฟังไม่ทัน จากนั้นก็เคาะประตูอย่างไม่ลังเล

 

เสียงห้วนสั้นดังขึ้นจากข้างใน

 

“ใคร?”

 

“ผมเอง”

 

เสียงฝืดของกลอนประตูดังเบา ๆ ก่อนช่องประตูจะแง้มออกเพียงพอให้เท้าสอดเข้าได้ กลิ่นอับจากด้านในลอยมาตามลม ห้องนั้นมืดสนิท มีเสียงกระซิบต่อเนื่องเหมือนบทสวดของบางสิ่งที่ไม่ควรเอ่ย มือผอมซีดเหมือนกระดูกโผล่ออกมาจากเงามืดจับลูกบิดไว้แน่น

 

“นายท่านไม่รับแขกที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า” เสียงนั้นแห้งแตกเหมือนไม้เก่าที่กำลังจะหัก

 

เลียมตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเยือก

 

“ถ้าเขารู้ว่าผู้มีพระคุณมาหาเองเขาคงไม่พูดเช่นนั้นแน่ บอกเขาว่าเลียม มัวร์มาขอพบท่านผู้ยังไม่ล่มสลาย”

 

ดวงตากลวงลึกของคนรับใช้เบิกกว้าง ก่อนที่ประตูจะปิดดังปัง ฝีเท้าแผ่วหายไปในความมืด คงไปแจ้งข่าวแก่ใครบางคน

 

เลียมหันมาบอกฉันให้ก้มหน้าไว้ ไม่สบตาใคร และอย่าเอ่ยคำใด ฉันพยักหน้ารับโดยไม่ออกเสียง

 

ไม่นานเสียงแหบครืดก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“เข้ามาได้”

 

เลียมเดินนำเข้าไป ฉันจึงตามไปเงียบ ๆ

 

แม้ภายนอกจะดูเป็นแฟลตเล็ก ๆ แต่ภายในกลับทอดยาวและวกวนราวกับทางเดินในโรงแรม มืดและอับจนแสงไฟจากด้านนอกไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาได้เลย ประตูเรียงรายตลอดสองข้างทาง ความมืดนั้นหนาทึบจนเหมือนถูกสร้างขึ้นโดยจงใจ ราวกับสถานที่แห่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อหลีกหนีจากแสงสว่างโดยเฉพาะ

 

ระหว่างเดิน ฉันรู้สึกได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องจากทุกทิศทาง บางบานประตูแง้มออกช้า ๆ คล้ายมีใครแอบมองพวกเราอยู่ ความรู้สึกนั้นทำให้ฉันนึกถึงออร์เฟอุสที่กำลังนำยูริดิซีขึ้นสู่โลก แต่กลับถูกเงามืดจากนรกฉุดรั้งไว้ไม่ให้หันกลับไปมอง

 

ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังรั้งเสื้อไว้ มือเย็นเยียบมากมายคว้าจับชายกระโปรงและแขนของฉัน พยายามจะเห็นหน้าให้ได้ แต่ทันใดนั้นเสียงไฟฟ้าสถิตแหลมคมดังขึ้น แป๊ะ!

 

เสียงกรีดร้องสั้น ๆ ดังขึ้น แล้วทุกสัมผัสเย็นชืดหายไปในพริบตา ความอึดอัดที่รายล้อมพลันปลิวหาย เหมือนทุกสิ่งถูกขับไล่ด้วยพลังบางอย่าง

 

เลียมไม่ได้หันกลับมามองแม้แต่น้อย เขายังคงก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางมั่นคงไม่หวั่นไหว

 

สุดทางเดินนั้นคือบานประตูไม้ขนาดใหญ่ เมื่อมันเปิดออก แสงสีส้มจากเตาผิงภายในก็ทอประกายอบอุ่นออกมาต้อนรับ ห้องนั้นตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบฝรั่งเศส พรมแดงสะอาดหมดจด พื้นไม้ขัดเงา ทุกอย่างหรูหราราวห้องรับรองของขุนนางสมัยเก่า

 

เลียมยกมือขวางฉันไว้ให้อยู่ด้านหลัง แล้วเดินเข้าไปยังโต๊ะไม้แกะสลักตรงกลางห้อง

 

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คุณเลียม มัวร์….”

 

เสียงหญิงสาวนุ่มนวลเอ่ยทัก ปลายประโยคเป็นภาษาที่ฉันฟังไม่เข้าใจ เสียงนั้นคล้ายผสมระหว่างเยอรมันที่หยาบกร้านกับฝรั่งเศสที่อ่อนละมุน คำแรกเหมือนจะขึ้นต้นด้วยคำว่า Kreuz…

 

ฉันเห็นร่างเลียมแข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกถึงความตึงเครียด เขาใช้เวลาชั่วครู่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบกว่าที่ฉันคาด

 

“ผมมาขอความช่วยเหลือจากคุณ... ลูซิตา”

 

หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงพึงใจ เสียงนั้นคล้ายจะเย้า แต่ก็แฝงอำนาจบางอย่างที่ทำให้ผิวฉันเย็นวาบไปทั้งตัว

 

“งั้นก็คงต้องมีมารยาทหน่อยสิ แนะนำเพื่อนร่วมทางของคุณให้ฉันรู้จักหน่อยจะดีไหม”

 

เสียงลากยาวของผ้าชุดยาวครืดคราดดังขึ้น ก่อนที่น้ำเสียงของเธอจะดังขึ้นใกล้หูฉันอย่างกะทันหัน

 

มือเย็นจัดแตะลงบนแก้ม แล้วประคองคางฉันขึ้นอย่างแผ่วเบา ความสัมผัสนั้นนุ่มราวแพรไหม แต่หนาวเยียบจนน่าขนลุก

 

“เด็กน้อยช่างน่ารักเสียจริง ไม่ยอมเงยหน้ามาทักทายหน่อยหรือ”

 

“ลูซิตา เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้” เลียมพูดเสียงเรียบแต่เด็ดขาด

 

“อ้อ... แต่ถ้าผู้มีพระคุณของฉันให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้ก็เป็นเรื่องสมควรที่ฉันจะได้เห็นหน้าไม่ใช่หรือ”

 

“ลูซิตา!”

 

เสียงของเลียมเข้มขึ้น เขาดึงแขนฉันไว้ แต่หญิงสาวกลับเคลื่อนไหวเร็วกว่านั้น นิ้วเรียวยกคางฉันขึ้นก่อนที่ฉันจะทันหันหนี

 

ภาพตรงหน้าแทบทำให้ฉันหยุดหายใจ

 

หญิงสาวงดงามเกินบรรยาย ผมบลอนด์ยาวเป็นประกาย ขนตาหนาเรียงงาม แก้มขาวราวหินอ่อน ผิวเรียบเนียนและริมฝีปากสีแดงสด เธอสวมชุดเดรสผ้าบางสีดำที่แนบกับเรือนกายอย่างอันตราย แต่สิ่งที่สะกดสายตาที่สุดคือ ดวงตา ของเธอ

 

ตาแดงสดราวทับทิม ลึกและเย็นชา... ไม่ใช่ของมนุษย์แน่ รูม่านตาเรียวยาวคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน เปลวไฟจากเตาผิงสะท้อนในดวงตาคู่นั้นเหมือนเปลวเพลิงกำลังเต้นระบำอยู่ข้างใน

 

ชั่วขณะหนึ่ง ฉันเห็นแสงระยิบเหมือนเกล็ดบาง ๆ ปรากฏบนแก้มของเธอ ก่อนจะจางหายไป

 

“เธอเป็นผู้หญิง...”

 

น้ำเสียงของลูซิตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

เลียมไม่ตอบ แต่สีหน้าของเขาคงเต็มไปด้วยความอึดอัด

 

“ใช่... ผู้หญิง!”

 

เธอจ้องฉันเหมือนงูจ้องเหยื่อ ลมหายใจของเธอเย็นเฉียบแตะผิวแก้มจนขนลุกชัน แต่ฉันยังคงนิ่ง พยายามควบคุมความกลัวไว้

 

ดูเหมือนลูซิตาจะประหลาดใจที่ฉันไม่แสดงอาการตื่นตกใจ เธอยังรอคำตอบอยู่ ฉันจึงยกขอบหมวกขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ

 

“ฉันชื่อเจน ออสเมอนด์ และใช่ ฉันเป็นผู้หญิง”

 

ริมฝีปากสีแดงของเธอแย้มยิ้มบาง

 

“เด็กน้อยช่างกล้าหาญและน่ารัก... จริง ๆ”

 

เธอหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนหันไปทางเลียม

 

“เลียม คุณนี่รู้จักพาฉันให้สนใจได้เสมอเลยสินะ”

 

ฉันหันไปมองเลียมอย่างงง ๆ เขาเองก็มองฉันด้วยแววตาแปลกใจไม่ต่างกัน แต่ทั้งคู่ไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม

 

ในที่สุดเราทั้งสามก็นั่งลงบนเก้าอี้รอบโต๊ะน้ำชา บริกรคนเดิมยกถ้วยชาแปลกประหลาดมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมละมุนอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่สีของมันดูน่ากลัวราวกับเลือดเจือไวน์

 

เลียมยังไม่แตะถ้วยของตัวเอง เขาเริ่มพูดตรงประเด็นทันที

 

“คุณคงได้ยินข่าวคดีฆาตกรรมในลอนดอนช่วงนี้แล้วสินะ เรากำลังตามล่าตัวคนอยู่ คุณมีเครือข่ายข่าวกว้างขวาง คงรู้มากกว่าพวกเราแน่”

 

ลูซิตายิ้มบาง ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบา ๆ

 

“ลอนดอนมีคดีฆาตกรรมทุกวัน คุณต้องเฉพาะเจาะจงกว่านี้หน่อยสิว่าคุณอยากรู้เรื่องไหนกันแน่”

 

“พวกนั้น... จุดมุ่งหมายของพวกมันเกี่ยวข้องกับสมองจริงหรือเปล่า”

 

ลูซิตาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผมทองยาวพลิ้วตามการเคลื่อนไหว เธอพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงราวจะร่ายคาถา

 

“พักนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นหลายอย่าง กลุ่มที่บูชากษัตริย์ดำ... และพวกนักปราชญ์แห่งดวงดาวสุดท้าย แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก ที่คุณเห็นในลอนดอนคงเป็นเพียงพวกที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน คอยสวดคำภาวนามืด ๆ ในท่อระบายน้ำเท่านั้น ถ้าเป็นผู้ติดตามกษัตริย์ดำจริง ๆ พวกนั้นคงไม่ก่อเหตุเพียงหกรายหรอก คุณเองก็รู้ดีนี่ว่าผลลัพธ์จะร้ายแรงเพียงใด”

 

เลียมขมวดคิ้ว “ผมก็คิดอย่างนั้น พวกนั้นเคลื่อนไหวตลอดเวลา ผมสงสัยกลุ่มนักปราชญ์แห่งดวงดาวสุดท้าย แต่ดูเหมือนพวกเขาไม่เกี่ยวโดยตรง”

 

คำศัพท์ที่ทั้งคู่พูดถึง — กษัตริย์ดำ, นักปราชญ์แห่งดวงดาวสุดท้าย — ฟังดูชวนสับสนราวกับรหัสลับ พวกเขากำลังพูดถึงลัทธิหรือศาสนาอะไรบางอย่าง แต่ใช้ถ้อยคำที่หลีกเลี่ยงความหมายตรง ๆ จนฉันจับต้นชนปลายแทบไม่ได้

 

ราวกับตั้งใจ... ไม่ให้ฉันเข้าใจ

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป