**แปล Auto โดย AI จาก Raw ต้นฉบับ คำเรียก สรรพนาม ชื่อ อาจมีผิดเพี้ยน แต่ยังสามารถเข้าใจเนื้อหาโดยรวมได้** 796 ตอนจบ
**แปล Auto โดย AI จาก Raw ต้นฉบับ คำเรียก สรรพนาม ชื่อ อาจมีผิดเพี้ยน แต่ยังสามารถเข้าใจเนื้อหาโดยรวมได้** 796 ตอนจบ
นอกเมืองหวงหยางมีทะเลสาบกว้างใหญ่ทอดยาวสุดสายตา ทั่วผืนน้ำเต็มไปด้วยดอกบัว ผลิใบเรียงรายเป็นแนวยาวกว่าสิบลี้ น่าเสียดายที่ยามนี้เป็นปลายฤดู บัวทั้งหลายเริ่มโรยรา กลีบซีดและรสชาติไม่หอมหวานดังเมื่อแรกผลิบาน
รถม้าของหลู่เซิงแล่นผ่านริมทะเลสาบ ลมอ่อน ๆ พัดกลิ่นน้ำชื้นมาแตะจมูก ภายในรถมีหลู่เจียงกับหลู่ซินนั่งอยู่ด้วย ข้าง ๆ ยังมีหญิงชราสองนางจากหมู่บ้านเดียวกันที่อาศัยรถม้ามาด้วย
ไม่นานรถม้าก็หยุดลงกลางตลาดในเมือง หญิงชราทั้งสองหยิบตะกร้าไข่ไก่ลงจากรถพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบใจมากนะอาเซิง ถึงที่แล้ว พวกข้าจะไปตั้งแผงขายเอง เจ้าไปทำธุระเถอะ”
“พวกท่านจะกลับหมู่บ้านเมื่อไรเจ้าคะ” หลู่เซิงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
หญิงชราทั้งสองเป็นคนมีน้ำใจและขยันขันแข็ง แม้อายุเกินหกสิบแล้วก็ยังไม่ย่อท้อต่อการทำงาน บางวันออกนา บางวันเข้าป่าเก็บฟืน หรือไม่ก็แบกตะกร้าไข่มาขายที่ตลาด
“พอขายหมดก็จะกลับแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก” ยายเก๋อยิ้มตาหยี “ข้างนอกเมืองมีเกวียนหลายคันให้พวกเราขึ้นได้สะดวก” ยายซ่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ๆ ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก”
หลู่เซิงยิ้มบาง “ถ้าข้ากลับเร็ว จะมารับพวกท่านเองนะเจ้าคะ”
“ได้เลย ยินดีนัก” หญิงชราทั้งสองหัวเราะอารมณ์ดี
เมื่อเห็นว่าพวกนางตั้งแผงขายของเรียบร้อยแล้ว หลู่เซิงจึงพาเด็กทั้งสองจากไป
สำนักศึกษาของหลู่หรันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ส่วนพวกนางอยู่ฝั่งทิศใต้ แม้จะอยู่ในตัวเมืองเดียวกันแต่ก็ใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วยาม
ระหว่างทางหลู่เซิงแวะร้านบะหมี่เล็ก ๆ ในตลาดใต้ ให้เด็กทั้งสองกินบะหมี่เนื้อร้อน ๆ รองท้องก่อน แล้วจึงนั่งรถม้าต่อไปยังสำนักศึกษา
เดิมทีสำนักศึกษาของอาจารย์นั้นอยู่ในหมู่บ้าน แต่เมื่ออาจารย์ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็ย้ายตามมาเรียนด้วย ตัวสำนักศึกษาไม่ใหญ่แต่เงียบสงบ เหมาะแก่การขัดเกลาวิชาอักษรและจิตใจ
เถ้าแก่หญิงที่เฝ้าประตูเป็นภรรยาของอาจารย์ แซ่หวง ใบหน้าใจดีและท่าทางซื่อตรง เมื่อรู้ว่าหลู่เซิงมาหาหลู่หรัน นางก็ยิ้มรับและให้เข้าไปโดยไม่ซักถามมาก
ตอนนั้นเป็นเวลาหลังเลิกเรียน เด็กบางส่วนออกไปซื้ออาหาร บางส่วนยังนั่งอ่านหนังสืออยู่หลังเรือน หวงซื่อพาหลู่เซิงและเด็ก ๆ ไปนั่งรอที่ศาลาแล้วรีบเข้าไปเรียกหลู่หรันออกมา
ไม่นานร่างสูงในชุดนักเรียนก็เดินออกมาจากสวนหลังบ้าน หลู่เซิงแทบไม่เชื่อสายตา เพียงสองเดือนเท่านั้นพี่ชายของนางดูเปลี่ยนไปมากนัก
ผิวที่เคยคล้ำจากการทำไร่กลับขาวผ่อง เสื้อผ้าเรียบสะอาด ใบหน้าคมคายดูสง่างามยิ่งเมื่ออยู่ในชุดนักปราชญ์
เขายืนตรงอยู่ท่ามกลางแสงแดดบาง ๆ จนดูราวกับบุตรของตระกูลผู้ดี
“ท่านพี่” หลู่เซิงยิ้มกว้างและเอ่ยทักเสียงใส หลู่เจียงกับหลู่ซินก็เอ่ยเรียก “พี่ใหญ่” เสียงแผ่วเบาอย่างเกรงใจ
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของหลู่หรันเย็นแต่มีแววอ่อนลงเมื่อเห็นพวกน้อง ๆ
“ข้ามาเยี่ยมท่านพี่และเอาของมาฝากเจ้าค่ะ” หลู่เซิงยื่นห่อผ้าในมือให้ “นี่คือเสื้อที่ข้าเย็บเองให้ท่านพี่ ส่วนชุดอุปกรณ์พู่กัน หมึก และแท่นหมึกนี้ ข้าได้มาจากเมืองหลินเจียง”
ของทั้งหมดนั้นเป็นของที่ฉู่ซือหานเป็นผู้เลือกและซื้อให้ด้วยตนเอง เพียงแค่ชุดอุปกรณ์สามชิ้นนั้นก็มีค่ากว่าห้าร้อยตำลึงเงิน
หลู่เซิงนึกแล้วยังอดปวดใจไม่ได้ โชคดีที่ไม่ใช่เงินของนางเอง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางกล้าให้แน่
“ของพวกนี้ข้ามีอยู่แล้ว ต่อไปอย่าฟุ่มเฟือยเช่นนี้อีก” หลู่หรันพูดเสียงเรียบพลางเก็บถุงผ้าไว้ แต่แววตากลับนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย
“พวกเจ้าได้กินอะไรกันหรือยัง” เขาหันมาถามเด็กทั้งสอง น้ำเสียงยังคงเข้มแต่ไม่ดุ
“กินแล้วขอรับ” หลู่เจียงตอบเสียงเบา “พี่หญิงรองพาไปกินบะหมี่เนื้อ” ส่วนหลู่ซินเพียงยืนหลบอยู่หลังหลู่เซิง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า
หลู่เซิงมองภาพนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจในใจ แม้ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม หลู่หรันจะไม่เคยตีหรือดุน้อง ๆ เลย แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนพูดน้อย หน้าดุ และเข้มงวดเกินไปในอดีต จึงไม่แปลกที่เด็กทั้งสองจะยังคงหวาดกลัวพี่ชายคนโตอยู่จนถึงตอนนี้