Your Wishlist

ดินแดนมหัศจรรย์ (ดินแดนมหัศจรรย์)

Author: xxx555

เสียงคำรามของท้องฟ้าที่ดังสนั่นหวั่นไหว ช่วยปลุกคืนที่เงียบสงัดให้ตื่นจากภวังค์ราวกับราตรีที่ยาวนานได้ผ่านพ้นไป จะว่าไปแล้วก็เหมือนดังความสุข ที่มักอยู่กับเราแค่ไม่นาน ใช่ เหมือนกับ wonderland

จำนวนตอน :

ดินแดนมหัศจรรย์

  • 11/08/2568

แต่การตัดสินใจเช่นนี้ของไซร์เวย์ 

กลับทำให้เลอเซอโร่ไม่พอใจอย่างมาก

 

 ราชาแวมไพร์จึงสั่งประหารแวมไพร์ผู้นี้ทันที

 เหลือเพียงเฮย์ไวร์ที่รอดชีวิต

 เพราะเลอเซอโร่เห็นว่ายังมีประโยชน์อยู่นั่นเอง

 

"หึๆๆๆ แข็งแรงแบบนี้ดีจริงๆ แบบนี้ก็ไม่ต้องรอแล้ว สั่งการลงไป

 เตรียมตัวเคลื่อนพลไปเมืองนากีสได้"

 

 เลอเซอโร่เอ่ยสั่งการดังลั่นท้องพระโรง

 ทำเอาทีโอดอร์ที่ยืนอยู่ต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

 

 

"ขออภัยเสด็จพ่อ เหตุใดเราจึงต้องเดินทางไปเมืองนากีส 

เท่าที่ลูกรู้ เมืองนากีสมันเป็นเมืองที่

เราทิ้งร้างมาหลายร้อยปีแล้วไม่ใช่เหรอ"

 

"เรื่องนั้น ให้หม่อมฉันเป็นผู้ถวายคำอธิบายดีกว่า" 

เฮย์ไวร์เอ่ยตอบ

 

"เวทย์ธาตุวิญญาณนั้น 

แตกต่างจากเวทย์ธาตุอื่นๆอยู่หนึ่งอย่าง

 เพราะเวทย์นี้จะใช้ได้แค่ในบางพื้นที่เท่านั้น

 ซึ่งพื้นที่ที่จะใช้ได้ จำเป็นต้องเป็นพื้นที่

ที่มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก

 จนกลายเป็นวิญญาณร้ายที่สิงสถิตอยู่

 รอเวลาไปเกิดเท่านั้น ซึ่งทั้ง wonderland นี้

 มีเพียงเมืองนากีสเท่านั้นที่เหมาะสม"

 

ที่แท้แต่เดิมนั้น นากีส เป็นเมืองที่อยู่ตรงพรมแดน

ระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์พอดี

 ด้วยเหตุนี้เมืองนี้จึงต้องกลายเป็นสนามรบอย่างช่วยไม่ได้

 

 ทำให้เมืองนี้ต้องตกอยู่ภายใต้ไฟสงคราม 

เป็นระยะเวลากว่า 100 ปี จนจำนวนทหาร

 ทั้งจากฝ่ายมนุษย์และแวมไพร์ ที่ต้องมาหลั่งเลือดที่นี่

 

 มีจำนวนมากมายมหาศาล

 จนไม่อาจนับจะจำนวนได้ แม้ในท้ายที่สุด

 ฝ่ายแวมไพร์จะสามารถได้รับชนะขั้นเด็ดขาด

 แต่ที่เหลืออยู่ กลับเป็นเพียงเมืองที่พินาศจากไฟสงคราม

 จนไม่อาจจะบูรณะได้อีกเลย

 

"เข้าใจแล้วหรือยังลูกพ่อ

 เราจึงต้องเดินทางไปทำพิธีคืนชีพอาลูคาร์ดต่อที่เมืองนี้ไงล่ะ"

 ราชาแวมไพร์เอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินมาตบไหล่บุตรชายตนเองเบาๆ 

 

"แต่เจ้าน่าจะยินดีนะ เพราะนี่จะเป็นศึกที่เราพ่อลูกจะร่วมรบด้วยกัน"

 

"และถ้าเราทำสำเร็จ มิดแลนด์ของเราก็

จะครอบครอง wonderland ได้เสียที"

 

ในโลกของ wonderland นั้น

 ผู้ที่สามารถต่อกรกับเหล่าแวมไพร์ได้

 แต่เดิมนั้นมีแค่เพียงพรีสและวอร์ริเอร์เท่านั้น ถ้าเช่นนั้น

 

 แล้วมนุษย์คนอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในสองคลาสนี้ล่ะจะทำอย่างไร

 ดังนั้นเพื่อความอยู่รอด พระราชา 9 พระองค์

 

 จากเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก 9 เมือง

 จึงจับมือและร่วมลงชื่อในสนธิสัญญา เพื่อเป็นพันธมิตรร่วมกัน

 จนในที่สุดก็เกิดเป็น สมาพันธ์ 9 นครขึ้นมา

 

จุดประสงค์ของสมาพันธ์นี้ ก็เพื่อให้การสนับสนุนด้านปัจจัย

 เพื่อแลกกับการคุ้มครองจากเหล่าพรีสและวอร์ริเออร์

 และสิทธิ์ขาดในการบริหารจัดการ ทำให้สมาพันธ์นี้

 

 สามารถเรียกเก็บค่าคุ้มครอง

 หากเมืองอื่นนอกเหนือจากสมาพันธ์

 

ต้องการกำลังของพรีสและวอร์ริเออร์ไปคุ้มครองบ้าง

 เรียกได้ว่า สมาพันธ์ 9 นครนี้

 ตั้งขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองโดยแท้

 

และจุดศูนย์กลางของสมาพันธ์ 9 นครนี้ ก็อยู่ที่ นครเจนีวา

 นครที่ใหญ่ที่สุดในบรรดานครทั้ง 9 นั่นเอง ที่วันนี้

 นครแห่งนี้กำลังคึกคักเป็นพิเศษ 

 

เพราะมีแขกอาคันตุกะ

 ที่เป็นคนสำคัญที่สุดในโลกเดินทางมาชุมนุมกันพร้อมหน้า

 ไม่ว่าจะเป็นราชาทั้ง 9 นายพลแลนด์ซาร์ต

 

 กับสาธุคุณรอสที่เดินทางมาพร้อมกับผู้ติดตาม โดยทั้งหมด

 มีจุดประสงค์เพื่อเข้าร่วมประชุม 3 ฝ่าย

 

 การที่คนสำคัญระดับนี้เดินทางมาพบกันได้ ดูท่า

 การประชุมนี้คงสำคัญมากพอดูเลยทีเดียว

 

ทันทีที่ทั้ง 3 ฝ่ายเดินทางมาครบองค์ประชุม

 ไม่ทันที่ราชาเมนเดสจะกล่าวเปิดงาน

 เหล่าพรีสกับวอร์ริเออร์ก็สาดสงครามน้ำลายใส่กันแล้ว

 

"ที่ฝ่ายมนุษย์เราต้องเผชิญกับวิกฤตขนาดนี้

 ก็เพราะความอ่อนแอของพวกพรีสอย่างท่าน

 ที่ทำให้พวกแวมไพร์บุกมาทำลายเมือง 

และชิงตัวอาลูคาร์ดไปได้"

 

"ที่เมืองเราถูกทำลาย และอาลูคาร์ดถูกชิงตัวไป

 นั่นก็เพราะความสอดรู้สอดเห็นของวอร์ริเออร์อย่างพวกท่าน

 ที่มาล้วงข้อมูลภายในเมืองเราไป

 จนมันหลุดไปถึงพวกแวมไพร์ต่างหาก"

 

"เจ้าว่าไงน่ะ !!" "ทำไมหรือจะเอา !!"  

 .... หลังจากนั้น เสียงโต้เถียงก็ดังลั่นห้องประชุมไปหมด

 

"ทุกท่านหยุดก่อน !!" เสียงทรงอำนาจของราชาเมนเดสดังขึ้น

 และสมกับเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่

 คำพูดของพระองค์สามารถทำให้ห้องประชุมสงบลงได้ในทันที 

 

"ตอนนี้พวกเรากำลังเจอสถานการณ์ที่คับขัน

 เพราะเหล่าแวมไพร์ได้ตัวอาลูคาร์ดไปแล้ว

 ข้าว่าเรามาจัดการเรื่องนี้ก่อนดีกว่า 

เรื่องที่ว่ามันเป็นความผิดใคร 

เรื่องนั้นเอาไว้จัดการในภายหลังก็ได้"

 

"ถูกต้องแล้วฝ่าบาท"

 สาธุคุณรอสเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้นกล่าวกลางที่ประชุม 

 

"สถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญตอนนี้

 เป็นวิกฤตขั้นร้ายแรงของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา 

เพราะเจ้าพวกแวมไพร์ มันได้ตัวอาลูคาร์ดไปแล้ว

 ดังนั้นพวกมันต้องไม่รีรอที่จะทำพิธีคืนชีพเขาให้สมบูรณ์แน่

 การที่เราจะผ่านวิฤตในครั้งนี้ไปได้

 มันต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย

 ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา พรีส หรือวอร์ริเออร์"

 

"วอร์ริเออร์อย่างพวกเรายินดีให้ความร่วมมืออยู่แล้ว

 เพราะชาตินักรบเช่นเรา ไม่เคยหนีหน้าสงครามไหนๆ"

 นายพลแลนด์ซาร์ตเอ่ยตอบ ก่อนจะตั้งคำถามกลับ 

 

"แล้วท่านล่ะ มีความเห็นต่อสงครามนี้เช่นไร"

 

สาธุคุณรอสหันมาให้สัญญาณ 

เหล่าผู้ติดตามจึงดำเนินการทันที ภาพโฮโลแกรม 3 มิติ

 ถูกฉายขึ้นกลางที่ประชุม

 เพื่อให้ท่านสาธุคุณ ใช้ประกอบคำบรรยาย

 

 

"ข่าวจากหน่วยสอดแนมของเรารายงานมาว่า

 ตอนนี้กำลังพลของเลอเซอโร่กำลังเคลื่อนที่จากมิดแลนด์

 มุ่งหน้าไปยังเมืองเมืองหนึ่ง

 

 นั่นก็คือเมืองนากีส ........ เมืองแห่งนี้เมื่อ 21 ปีก่อน

 ถูกใช้ในการทำพิธีคืนชีพให้อาลูคาร์ดมาครั้งนึงแล้ว

 การที่พวกแวมไพร์เคลื่อนที่มาอีกครั้ง

 

 นั่นแปลว่าเมืองนี้คงมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับ

การคืนชีพของอาลูคาร์ดเป็นแน่ แต่ไม่ว่าเป็นอะไร

 การที่มันต้องเคลื่อนที่มาเมืองนี้ นี่แหละจะทำให้เราได้เปรียบ"

 

"นั่นเพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่ตายแล้ว 

มันไม่มีทั้งป้อมปราการ ไม่มีทั้งกำแพงสูงคอยป้องกัน

 ทั้งเมืองมีแต่ซากปรักหักพังเท่านั้น

 อีกทั้งยังสามารถเข้าตีได้สองทาง 

ทั้งทางบกและทางทะเล

 ดังนั้นถ้าเราแยกกำลังออกเป็นสองทาง 

และเข้าตีพวกมันพร้อมกัน

 รับรองว่าพวกมันจะต้องแตกตื่น

 จนเปิดโอกาสให้เราได้จัดการอาลูคาร์ดเป็นแน่"

 

 

 

"แต่ข้าไม่เห็นด้วย" ในขณะที่สาธุคุณรอสกำลังบรรยายอยู่นั้น

 นายพลแลนด์ซาร์ตก็ร้องขัดขึ้นทันที

 

 "การแยกกำลังออกเป็นสอง

 นั่นจะยิ่งทำให้กำลังเราลดน้อยลง 

โอกาสเพี้ยงพร้ำมันก็มีสูง ในความคิดว่า

 เราควรรวมกำลังกัน แล้วเขาตีที่จุดเดียวมากกว่า"

 

"แต่การรวมกำลังแล้วเข้าตีที่จุดเดียว

 จะทำให้สงครามยิ่งยืดเยื้อ

 นั่นจะเป็นโอกาสให้พวกแวมไพร์สามารถคืนชีพ

อาลูคาร์ดได้สมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้น มันจะยิ่งแย่ยิ่งกว่า"

 

 สาธุคุณรอสไม่ยอมแพ้ ตอบโต้กลับเช่นกัน

 

เมื่อความเห็นไม่ตรงกันเช่นนี้

 ทั้งสองฝ่ายจึงเปิดสงครามน้ำลายอีกรอบอย่างไม่มีใครยอมใคร

 ทำให้เมื่อเป็นเช่นนี้

 

 นายพลแลนด์ซาร์ตจึงหันไปขอคำตัดสิน

จากราชาเมนเดสว่าเห็นด้วยกับฝ่ายไหน

 

"เหตุผลของท่านทั้งสองฝ่ายต่างก็มีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งคู่

 จนแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่อาจตัดสินใจได้ในทันที ....

 

 แต่ในความคิดเรา สงครามครั้งนี้

มันเกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์

 ทำให้สงครามนี้เราจะแพ้ไม่ได้ .... ดังนั้น 

การที่เราจะใช้แผนการของใคร

 เราก็ขอเลือกฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า ที่จะทำให้เรามั่นใจว่า

 ท่านสามารถนำชัยชนะกลับมาให้เราได้จริงๆ"

 

พูดง่ายๆก็คือ ใครมีกำลังรบแข็งแกร่งกว่าก็ให้ทำตามคนนั้นนั่นเอง

 ซึ่งตรงนี้ทำให้นายพลแลนด์ซาร์ตเผยยิ้มออกมาทันที

 ก่อนจะรีบนำเสนอกำลังรบของตนเอง 

 

"ทุกท่านคงทราบดีถึงกิตติศัพท์ของหน่วยรบพิเศษเรา 

ที่เรียกว่า 'พาลาดิน'

 หน่วยนี้เป็นหน่วยพิเศษที่เกิดจากการ

ฝึกฝนนักรบวอร์ริเอร์ของเรา

 ให้ใช้อาวุธวิเศษที่เรียกว่าหินธาตุได้

 ทำให้เพิ่มประสิทธิ์ภาพในการรบได้อย่างมหาศาล

 ดังจะเห็นได้จากผลงานในหลายๆสมรภูมิของเรา

 แต่น่าเสียดาย ที่พาลาดินของเรายังมีน้อยเกินไป"

 

"แต่ตอนนี้ปัญหานั้นเราแก้ไขได้เรียบร้อยแล้ว"

 

 นายพลแลนด์ซาร์ตกล่าวต่อพร้อมกับยืนขึ้นทันที 

 

"ตลอดหลายปีมานี้เราได้ซื้ออาวุธหิน

ธาตุเข้ามาเป็นจำนวนมาก

 อีกทั้งยังเพิ่มหลักสูตรในฝึกฝนวอร์ริเออร์ของเรา

เพื่อมาใช้อาวุธเหล่านี้

 จนตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องมีหน่วยพิเศษพาลาดินแล้ว

 เพราะวอร์ริเออร์ทุกคนสามารถเป็นพาลาดินได้หมด"

 

สิ้นคำกล่าวของนายพลแลนด์ซาร์ต

 เหล่าราชาทั้ง 9 ที่นั่งฟังอยู่ 

ถึงกับอุทานออกมาอย่างลืมตัว เพราะพวกเขาทราบดีว่า

 หน่วยพิเศษพาลาดินนั้นร้ายกาจแค่ไหน

 

 และถ้าวอร์ริเออร์ สามารถใช้อาวุธธาตุเช่นเดียว

กับพาลาดินได้ทุกคน

 กำลังรบของวอร์ริเออร์จะยกระดับ

ความร้ายกาจได้มากมายขนาดไหน

 

"อาวุธหินธาตุพวกนั้นเป็นผลงานนอกรีตของพวกวิซาร์ต"

 สาธุคุณรอสเอ่ยอย่างเกรี้ยวราด 

 

"การที่ท่านทำการค้ากับพวกนอกรีตพวกนั้น

 มันก็เป็นการละเมิดมติของพวกเรามากพอแล้ว

 ข้าไม่นึกเลยว่า 

ท่านจะเอาผลงานพวกนั้นมาใช้โฆษณาตนเองแบบนี้ !!"

 

"อย่ามาอ้างมติดีกว่าน่า รอส

 เพราะพวกข้าไม่เคยลงนามรับรองมตินั่นแต่แรกแล้ว"

 

 นายพลเฒ่าเอ่ยย้อน

 "และอีกอย่างนะ มตินั่นมันไม่ชอบตั้งแต่ต้นแล้ว

 เพราะเจ้านะใช้ความรู้สึกส่วนตัวในการออกมตินี้

 เพราะพวกเจ้านะ

 อิจฉาที่เห็นว่าพวกวิซาร์ดที่แยกตัวจากพวกเจ้า

 กำลังทำผลงานได้ดีกว่า"

 

ทันทีที่นายพลเฒ่ากล่าวจบ

 เหล่าพรีสทุกคนในห้องต่างลุกฮืออย่างไม่พอใจ

 แต่นายพลเฒ่ากับหัวเราะร่าอย่างสะใจ

 ที่ได้กล่าวเสียดแทงจี้ใจดำพวกพรีสเหล่านั้น

 ก่อนจะเอ่ยสำทับไปว่า

 

 "ข้านำเสนอส่วนของข้าไปหมดแล้ว ทีนี้ก็ตาท่านนะ

 มีอะไรดีก็งัดออกมาเลย"

 

"สิ่งที่ข้ามี มันเป็นเพียงเวทย์มนต์แค่บทเดียวเท่านั้น"

 พรีสเฒ่าเอ่ยเสียงเหี้ยม

 พร้อมกับจ้องตาอีกฝ่าเขม็ง "เทวีพิราบขาว !!"

 

 

"เทวีพิราบขาววววว !!!!" ทันทีที่รอสพูดจบ

 ทั้งห้องประชุมต่างก็ร้องประสานเป็นเสียงเดียวกัน

 

"ท่านพูดจริงเหรอ สาธุคุณรอส"

 ราชาเมนเดสถึงกับเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น

 เพราะใครบ้างใน wonderland

 

 จะไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเวทย์บทนี้

 เวทย์แห่งแสงสว่างเลเวล 12 

ที่สามารถสังหารอาลูคาร์ดลงได้เมื่อ 1,000 ปีก่อน

 

"ด้วยเกียรติของกระม่อมเลย ฝ่าบาท

 เรื่องนี้แม้แต่ท่านแลนด์ซาร์ตก็สามารถยืนยันได้

 ว่าพวกเรามีพรีสธาตุแสง"

 

 สาธุคุณรอสเอ่ยจบ ก่อนจะหันมายิ้มเย้ยนายพลเฒ่า

 ที่ตอนนี้ทำได้แค่ขบกรามอย่างโกรธแค้น

 ว่าแล้วสาธุคุณรอสก็พูดต่อให้จบประโยค 

 

"นางเป็นพรีสนักรบที่เก่งกาจระดับต้นๆของเรา

 อีกทั้งยังเป็นผู้สังหารลูกน้องคนสนิท

ของเลอเซอโร่อย่างลินคอร์น แล้วชิงพลังมาน่ามันมา

 ทำให้ตอนนี้นางมีพลังมาน่าพุ่งจนถึงจุดสูงสุด

 จนนางสามารถฝึกฝนเวทย์ เทวีพิราบขาว ได้เป็นผลสำเร็จ"

 

 

 

"น่าเสียดายที่วันนั้น นางไม่ได้ประจำการอยู่แซงจูรี่ย์

 ไม่งั้นนางคงสังหารทีโอดอร์ได้ไปนานแล้ว"

 พรีสเฒ่าแต่งเรื่องอย่างหน้าตาเฉย

 

 "และที่กระม่อมเสนอให้โจมตีสองทาง

 ก็เพื่อให้เหล่าแวมไพร์เปิดช่อง นางจะได้ใช้เวทย์บทนี้

 สังหารอาลูคาร์ดเหมือนเมื่อ 1,000 ปีก่อนได้ไงพะยะค่ะ"

 

"วิเศษมาก วิเศษจริงๆ ในเมื่อพวกท่านมีเวทย์นี้วิเศษเช่นนี้

 เราก็เห็นชอบด้วยที่จะดำเนินการตามแผนของท่าน"

 

 ราชาเมนเดสเอ่ยร้องอย่างดีใจ

 และแน่นอนว่าราชาผู้นี้ต้องยินยอมทำตามสาธุคุณรอสแน่นอน

 

ชัยชนะบทเวทีเจรจานี้ เหล่าพรีสต่างโห่ร้องอย่างสะใจ

 ในขณะที่ผู้แพ้อย่างวอร์ริเออร์

ก็ทำได้เพียงต้องอดกลั้นโทสะนี้ไว้เท่านั้น

 

"การฝึกของนางเป็นยังไงบ้าง"

 สาธุคุณรอสเอ่ยถามขณะที่จ้องมองวิเวียน

 ที่กำลังนั่งสมาธิผ่านห้องกระจก

 

 

"นางเย็ดกับแวมไพร์เชลยจนหมดแล้ว

 ตอนนี้พลังมาน่าของนางกำลังเพิ่มจนถึงขีดสุด

 และตอนนี้นางกำลังทำสมาธิเพื่อฝึกฝนเทวีพิราบขาวอยู่" 

 

โบน ที่ตอนนี้เข้ามาควบคุมการฝึกฝน

ของวิเวียนอย่างเต็มตัวเอ่ยตอบ สุดท้าย

 คนอย่างเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ

 

"นางจะฝึกสำเร็จไหม" สาธุคุณรอสเอ่ยถาม

 

"งานนี้มันก็เหมือนโยนหัวก้อย" โบนเอ่ยตอบ 

"เพราะนางพึ่งสำเร็จเวทย์ธาตุแสงแค่เลเวล 9

 การจะข้ามขั้นไปฝึกเลเวล 12 เลยมันจึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก

 นอกจากไม่สำเร็จแล้ว นางอาจจะตายไปเลยก็ได้

 

"นางต้องฝึกสำเร็จ เพราะข้าไปเอ่ยปากกับราชาเมนเดสไปแล้ว

 ถ้างานนี้ล้มเหลว คราสพรีสของเรา จบสิ้นแน่นอน"

 

 สาธุคุณรอสเอ่ยจบก็ฉีกยิ้มออกมาทันที

 ยิ้มนั้นมันมีความหมายเช่นไร

 แม้แต่โบนเองก็เดาไม่ออก หรือบางที

 มันอาจจะเป็นยิ้มที่ไม่มีความหมายใดๆเลยของคนบ้าก็ได้

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า