เสียงคำรามของท้องฟ้าที่ดังสนั่นหวั่นไหว ช่วยปลุกคืนที่เงียบสงัดให้ตื่นจากภวังค์ราวกับราตรีที่ยาวนานได้ผ่านพ้นไป จะว่าไปแล้วก็เหมือนดังความสุข ที่มักอยู่กับเราแค่ไม่นาน ใช่ เหมือนกับ wonderland
เสียงคำรามของท้องฟ้าที่ดังสนั่นหวั่นไหว ช่วยปลุกคืนที่เงียบสงัดให้ตื่นจากภวังค์ราวกับราตรีที่ยาวนานได้ผ่านพ้นไป จะว่าไปแล้วก็เหมือนดังความสุข ที่มักอยู่กับเราแค่ไม่นาน ใช่ เหมือนกับ wonderland
"คิดหนีเหรอ ...... อาภรณ์เทพศิลา"
ทันทีที่เขาเอ่ยจบเจ้าพาลาดินก็ร่ายเวทย์ประจำตัว
ทันใดนั้นสร้อยคอที่เขาใส่ก็เปล่งแสงสีน้ำตาลสว่างจ้าทันที
พร้อมๆดินโคลนสีน้ำตาลไหลขึ้นมาห่อหุ้มร่างเขา
จนมิดก่อนที่มันจะจับตัวแข็ง
กลายเป็นชุดเกราะลวดลายแปลกตา
สโตนเฮดขยับกายเล็กน้อยเพื่อให้ชุดเกราะเข้าที่
ก่อนที่เขาจะวิ่งทะยานตามไล่ล่ารถที่พึ่งแล่นออกไป
"เจ้าจะหนีไปถึงไหนห่ะ มาโฮน"
แวมไพร์สาวผมดำขลับตวาดสั่นหน้าฝูงนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า
ก่อนที่เจ้าฝูงนกเหล่านั้น
จะบินโฉบลงมาด้านล่างก่อนจะรวมร่างกลับมาเป็นแวมไพร์ร่างสูงโปร่ง
"ข้าจะกลับบริษัท ขอกำลังเสริมจาก wonderland"
"เจ้าบ้าไปแล้วเหรอมาโฮน
กว่ากำลังเสริมจะมาป่านนั้นพวกมันก็ไปถึงไหนแล้ว
ดีไม่ดีถ้าเกิดพวกมันหนีกลับเข้า wonderland ได้ เราจะชิงตัวลำบาก"
"เจ้าสิบ้า ไม่เห็นเหรอว่านังนั่นเป็นพรีสธาตุแสง
พรีสธาตุแสงน่ะเว้ยยยย
ไอ้ธาตุในตำนานที่ใช้สังหารเผ่าพันธุ์เราโดยเฉพาะ
ธาตุที่เราโดนมันเข้าจังๆแค่ทีเดียว
แค่ทีเดียวก็สังหารเราได้แล้วน่ะเว้ย ถ้าเจ้าอยากเสี่ยงนัก
ก็เชิญเจ้าเดินไปลงเหวคนเดียวเถอะเวโรนิก้า"
มาโฮนพูดจบก็ตั้งท่าร่ายเวทย์ ร่างเงาพันปักษา เพื่อจะจากไป
"มาโฮนนนนนน !!" เวโรนิก้าตวาดเสียงดังลั่น
ก่อนที่นางจะเปลี่ยนเสียงพูดเป็นเสียงเหยียดหยามแวมไพร์ตรงหน้า
"ที่แท้ตัวเจ้าก็ขี้ขาดเช่นนี้เองเหรอมาโฮน อ้อ ....
เพราะคู่ขาตายไปก็เลยทำให้เจ้าสติแตกเหรอไง"
"เจ้าว่าไงน่ะ เวโรนิก้า !!" เจ้าแวมไพร์ร่างสูงหันมามองทันที
สายตาของมันจ้องมองมาที่แวมไพร์สาวอย่างกินเลือดกินเนื้อ
ซึ่งเธอก็ไม่สนใจ กล่าวเย้ยมันต่อ
"หึ ! ปกติข้าเห็นเจ้าชอบทำวางท่า
แต่เอาเข้าจริงกลับขี้ขลาดเช่นนี้เลยเหรอ แต่พูดถึง
ข้าก็มีกระโปรงเก่าๆอยู่ ยังไงเดี๋ยวข้าจะบริจาคให้เจ้าไปใส่น่ะ"
"เวโรนิก้า !! เจ้าเป็นแค่แวมไพร์ชั้นต่ำ แต่กลับกล้าหยามข้าขนาดนี้เรอะ"
มาโฮนตวาดลั่นพร้อมกับฟาดฝ่ามือเข้าใส่ทันที
ซึ่งแวมไพร์สาวก็พลิ้วหลบไปได้อย่างง่ายดาย
ก่อนที่จะตวัดฟาดสันมือเข้าใส่จนแวมไพร์ร่างสูงโปร่งล้มลงไม่เป็นท่า
"ร่างเงาพันปักษา"
เจ้าแวมไพร์ร้องลั่นก่อนที่ร่างของมัน
จะแตกกระจายกลายเป็นฝูงนกนับพันบินร่อนอยู่เต็มท้องฟ้า
และคราวนี้เจ้ามาโฮนก็ไม่ประมาทเหมือนครั้งก่อนๆ
มันจัดรูปขบวนใหม่โดยเน้นตีวนอยู่รอบๆ
และก็อาศัยจังหวะเข้าโจมตีจากมุมบอด
"อ๊ากกกกก"เวโรนิก้าหวีดร้องดังลั่น
เมื่อเจ้านกตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่เธอจากด้านหลังอย่างแรง
พร้อมกับระเบิดออก ทิ้งรอยไหม้สีแดงไว้ที่แผ่นหลัง
แต่เธอเองก็เจ็บไม่ได้นาน เจ้านกตัวที่ 2-3 ก็บินโฉบลงมาแล้ว
ทำให้เธอต้องร่ายเวทย์ป้องกันเป็นพัลวัน
แต่เพราะจำนวนนกที่มีอยู่มากมาย
บวกกับมันโจมตีเธอได้จากทุกทิศทาง
ทำให้ในที่สุดเธอก็โดนจนระเบิดเข้าไปหนึ่งชุดจนต้องล้มกับพื้น
และนั่นก็เป็นโอกาสที่เจ้ามาโฮนจะโจมตีกระหน่ำเธอไม่ยั้ง
จนแวมไพร์สาวบอบช้ำไปทั้งตัวหมดสภาพไปในที่สุด
"ฮ่าๆๆๆ เป็นไงล่ะมึง เจอเวทย์ประจำตระกูลกูเข้าไป
ยังจะมาปากดีอีกไหม นี่แหละ
ที่เขาเรียกว่าความต่างของแวมไพร์แท้กับแวมไพร์ตีตราล่ะเว้ย"
เจ้ามาโฮนหัวเราะอย่างสะใจกับผลงานตรงหน้า
"อัสนีบาตหลั่งไหล"
เพราะเจ้ามาโฮนมัวแต่ย่ามใจนั่นเอง
มันก็เลยเผลอเข้ามาในระยะโจมตีโดยไม่รู้ตัว
ชั่วพริบตานั้นกระแสไฟฟ้าจำนวนมาก
ก็กระจายออกจากร่างแวมไพร์สาวเข้าโจมตีร่างนกของมันทุกทิศทาง
จนร่างนกของมันร่วงระนาวบนพื้น แต่แค่นั้นยังไม่พอ
แวมไพร์สาวลุกยืนขึ้นพร้อมกับร่ายเวทย์อีกชุดที่รุนแรงกว่าทันที
"เสาสลัก เทพสายฟ้า"
กระแสไฟฟ้าจำนวนมากในอากาศ
โดนดึงดูดเข้ามารวมกันในร่างของแวมไพร์สาว
ก็จะส่งผ่านเธอไปยังพื้นเข้าจู่โจมร่างนกของมาโฮน
ที่นอนกระจัดกระจาย
จนเสียงร้องโหยโหวนดังไปหมด เพราะเวทย์ชุดนี้
เป็นเวทย์สายฟ้าระดับเลเวล 6 ที่มีพลังทำลายมากที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนโดนเป็นพวกธาตุน้ำด้วยล่ะก็
พลังทำลายก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นหลายเท่า
"เวทย์ประจำตระกูลแล้วยังไง
สุดท้ายมันก็ต้องอยู่ในสาระบบ 5 ธาตุจักรวาลอยู่ดี"
แวมไพร์สาวเอ่ยขึ้นโดยที่ท่าทางเป็นปกติทุกอย่าง
ราวกับว่าการโจมตีเมื่อครู่ของมาโฮนไม่ได้สร้างการบาดเจ็บให้เธอเลย
"และเวทย์ที่สามารถแบ่งร่างออกจากกันได้แบบนี้
ก็มีแต่เวทย์ธาตุน้ำใช่ไหมล่ะ
แต่จะว่าไปทีแรกข้าก็ไม่แน่ใจหรอกนะ
จนเมื่อเจ้าเร่งความร้อนในร่างนกจนเดือดแล้วพุ่งเข้าจู่โจมข้านี่สิ
นี่มันการโจมตีแบบพวกธาตุน้ำชัดๆ"
"และนั่นก็คือสิ่งที่เจ้าทำพลาดมาโฮน
เจ้าทำให้ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นพวกสายธาตุอะไร
แถมการโจมตีของเจ้ามันก็ช่างไร้ความหมาย
เพราะข้าเป็นแวมไพร์ธาตุไฟ
เอาความร้อนมาโจมตีข้ามันไม่ดูสิ้นคิดไปหน่อยเหรอ"
เวโรนิก้ากล่าวเหยียดเจ้าแวมไพร์ตรงหน้า
ก่อนจะใช้เท้าขยี้ร่างนกที่นอนอยู่เกลื่อนพื้น
"เอาล่ะ จะกลับไปพร้อมกับข้าดีๆไหมมาโฮน"
เวโรนิก้าเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะร่ายเวทย์ชุดเดิมอีกครั้ง
พร้อมกับเสียงร้องอย่างโหยหวนที่ดังขึ้นของแวมไพร์มาโฮน
"เจ้านั้นเป็นใครเหรอวิเวียน พวกแวมไพร์หรือเปล่า"
ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที
หลังจากรถของพวกเขาทิ้งระยะออกมาได้ไกลพอดู
"ไม่ใช่แวมไพร์คะอาร์ต เขาเป็นคนในหน่วยพาลาดินของพวกวอร์วิเอร์น่ะ"
หญิงสาวเอ่ยตอบพร้อมกับมองกระจกหลังเป็นระยะ
"วอร์ริเอร์ ??" ชายหนุ่มเอ่ยทวนอย่างฉงน
"พวกที่ต่อสู้กับแวมไพร์เช่นเดียวกับพรีสนี่แหละคะ
เพียงแต่พวกเขาไม่มีพลังเวทย์
ใช้เพียงอาวุธและทักษะการต่อสู้เท่านั้น
จะมีก็แต่หน่วยพาลาดินนี่แหละ
ที่ฝึกการใช้เวทย์เพื่อเอามาประสานกับการต่อสู้ด้วย
แต่เพราะเขาไม่ได้ฝึกฝนพลังมาน่าเพียงพอ
ปกติพลังเวทย์ของเขาก็เลยไม่สูงนักแถมใช้ได้เพียงธาตุเดียว
แต่ต่อมา พอมีพวกหินธาตุเกิดขึ้น
พวกเขาก็พัฒนาพลังตัวเองแบบก้าวกระโดด
จนผู้มีพลังสูงสุดของแต่ละธาตุ
จะถูกเรียกมารวมกันเป็น 5 พาลาดิน
แล้วได้ชื่อโคดเนมตามสายธาตุที่ตนใช้ .....
อย่างชายคนนั้นก็คือ สโตนเฮดแห่งธาตุดิน"
"วิเวียน ......!!" นายอาร์ตเอ่ยขึ้นทันทีที่วิเวียนพูดจบ
ภาพที่เขาเห็นผ่านกระจกหลังเป็นภาพที่เขาไม่อยากเชื่อสายตา
ภาพของชายที่สวมชุดเกราะที่คลุมมิดไปทั่วร่างกำลังไล่ตามเขามา
ครั้นชายหนุ่มจะเร่งเครื่องหนี ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหนีพ้น ไม่แค่นั้น
ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็กำลังถูกย่นเข้ามาเรื่อยๆ
"ชุดเกราะนั่นเคลื่อนไหวด้วยพลังเวทย์ แค่ความเร็วยังไม่พอหรอก"
วิเวียนเอ่ยขึ้นก่อนจะเปิดประตูรถออก
จากนั้นเธอก็ปล่อยหอกลำแสงเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่สองข้างทาง
ทำให้ต้นไม้เหล่านั้นหักโค่นลงมากลายเป็นกำแพงกั้นขวางอยู่กลางถนน
"หึ !" สโตนเฮดสบถมาคำหนึ่งราวกับ
จะดูแคลนการกระทำตรงหน้า
วิชาอาภรณ์เทพศิลาของเขาเป็นวิชาชุดเกราะธาตุดินระดับเลเวล 9
ท่อนไม้ที่ขวางหน้าพวกนี้ก็เป็นเหมือนไม้ซี่เล็กๆ
ในสายตาของเขาเท่านั้นเอง
ว่าแล้วเขาก็ตัดสินใจวิ่งเข้าชนท่อนไม้เหล่านั้นตรงๆ
แรงปะทะทำให้ท่อนไม้เหล่านั้นฉีกกลางอย่างง่ายดาย
แต่นั่นก็เข้าแผนของพรีสสาวเต็มๆ
เพราะทันทีที่สโตนเฮดวิ่งฝ่าท่อนไม้เหล่านั้น
จนหมดเขาก็พบว่าทางข้างหน้าเป็นโค้งหักศอกที่ลาดชัน
ท่อนไม้เหล่านี้แท้จริงแล้วไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อกีดขวางเขาแต่แรก
แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือกีดขวางทัศนวิสัย
ของเจ้าพาลาดินให้พลาดท่าพลัดตกลงไปนั่นเอง
"เยี่ยม !!"
นายอาร์ตร้องออกมาอย่างลิงโลด
ก่อนจะถือโอกาสเร่งเครื่องยนต์ขับหนีไปทันที
เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าแค่พลัดตกลงไปอย่างมาก
ก็แค่ทำให้เจ้าพาลาดินเสียเวลานิดหน่อยเท่านั้น
แต่ทันใดนั้น ชายร่างยักษ์ที่หุ้มเกราะทั้งร่าง
ก็พุ่งพรวดออกจากข้างทาง
ก่อนจะวิ่งเข้ากระแทกที่ตัวรถอย่างแรง
แรงกระแทกทำเอาตัวรถเสียหลักวิ่งเข้าอัดข้างทางอย่างจัง
โชคที่ระบบนิรภัยของตัวรถทำงานได้ทันเวลา
นายอาร์ตกับวิเวียนก็เลยไม่ได้รับบาดเจ็บมาก
แต่ยังไม่ทันที่พวกจะได้ตั้งตัว ประตูรถก็ถูกกระชากออก
พร้อมกับร่างชายหนุ่มที่โดนเหวี่ยงกระเด็น