เสียงคำรามของท้องฟ้าที่ดังสนั่นหวั่นไหว ช่วยปลุกคืนที่เงียบสงัดให้ตื่นจากภวังค์ราวกับราตรีที่ยาวนานได้ผ่านพ้นไป จะว่าไปแล้วก็เหมือนดังความสุข ที่มักอยู่กับเราแค่ไม่นาน ใช่ เหมือนกับ wonderland
เสียงคำรามของท้องฟ้าที่ดังสนั่นหวั่นไหว ช่วยปลุกคืนที่เงียบสงัดให้ตื่นจากภวังค์ราวกับราตรีที่ยาวนานได้ผ่านพ้นไป จะว่าไปแล้วก็เหมือนดังความสุข ที่มักอยู่กับเราแค่ไม่นาน ใช่ เหมือนกับ wonderland
"คะ ??" ส่วนวิเวียนเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน
"ทำไมคุณโบนถึงตกใจล่ะ
ก็นี่มันคือภารกิจของวิเวียนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"
บ้าไปแล้ว บ้าแน่ๆ นี่มันคือเรื่องบ้าอะไรกัน
อยู่ดีๆวิเวียนก็มาบอกว่าจะฆ่าอาลูคาร์ด และสายตาเธอก็ฟ้อง
ว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ ฆ่าอาลูคาร์ด ฆ่านายอาร์ตเนี่ยน่ะ
มันจะเป็นไปได้ไงกัน ก็เมื่อหลายวันก่อน
เธอยังมากระซิบข้างหูกับเขาเลย ว่าเธอ รัก
นายอาร์ต แล้วอยู่ๆ ทำไมเธอจึงเปลี่ยนไป
โบนสีหน้าเคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวในชั่วพริบตา
เพราะด้วยสติปัญญาระดับเขา
แค่แว๊บเดียวเขาก็พอเข้าใจเรื่องทั้งหมด ........ ช่วงไม่กี่วันมานี้
ช่วงที่เขาพักฟื้น มีใครบางคนทำอะไรบางอย่างกับวิเวียน
ใครบางคน ที่ทำเธอเปลี่ยนไป
และคนที่จะตอบเรื่องราวทั้งหมดได้นั้น ก็มีอยู่คนเดียว
"รอสสสสสสส !!"
เหนือขึ้นไป ที่ชั้นบนสุดของโบสถ์คาดินัลล์
ที่ห้องทำงานของสาธุคุณรอส ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าพรีส
ที่ตอนนี้กำลังนั่งประชุมอย่างเคร่งเครียด กับแองเจลล่า
รองสังฆราชฝ่ายซ้าย และเหล่าพรีส ระดับเสนาธิการขึ้นไป
"ตอนนี้ราชาเมนเดสตอบรับเราแล้วค่ะ
พระองค์ทรงอนุญาตให้ใช้นครเจนีวา
เป็นสถานที่ประสำหรับประชุม 3 ฝ่าย"
แองเจลล่ากำลังอ่านรายงาน ต่อที่ประชุม
"และดูเหมือนว่า ทางฝ่ายวอร์ริเอร์ นายพลแลนด์ซาร์ต
จะเป็นผู้เดินทางมาด้วยตนเอง
"ไอ้แก่เดนตายเอ๊ย" รอสสบถออกมาเบาๆ
"ส่วนกำลังพลของเรา ที่เราเรียกระดมไปเมื่อหลายวันก่อน
ถึงตอนนี้เราสามารถรวบรวมได้ 70,000 คนแล้วครับ"
หลังจากแองเจลล่ารายงานจบ พรีสอีกคนก็รีบรายงานทันที
"อันที่จริงเราสวรระดมพลให้ได้ 100,000 เลยด้วยซ้ำ
ก็เพราะเรียกระดมพลได้แค่นี้นี่ไง
เราถึงต้องขอกำลังพลจากพวกวอร์ริเอร์กับสมพันธ์ 9 นครมาเสริม"
รอสเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"ดูท่า งานนี้พวกวอร์ริเอร์มันคงคิดจะหักหน้าเรา
ด้วยการขอเป็นผู้นำศึกนี้แทนเราเป็นแน่"
แองเจลล่าเอ่ยขึ้นกับที่ประชุม
"ปังงงงงงง !!" เสียงกระแทก
ของประตูห้องประชุมดังลั่น
ก่อนที่เจ้าของผลงานจะกล่าวเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด "รอส !!"
"โบน" สาธุคุณรอสยิ้มขึ้นมานิดๆ
ก่อนจะสั่งทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม
"การประชุมวันนี้จบลงแล้ว พวกเจ้าไปเตรียมเดินทางไปนครเจนีวาได้"
"แต่ท่านรอส" แองเจลล่าเอ่ยขึ้น เพราะดูจากท่าทีแล้ว
คงไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้สาธุคุณรอสกับโบนอยู่กันตามลำพัง
แต่กระนั้นสาธุคุณรอสก็ปฏิเสธ "ข้าจะจัดการเอง"
เมื่อสาธุคุณรอสยังยืนยันคำเดิม
แองเจลล่าและเหล่าพรีสทั้งหมด
ก็ทยอยออกจากห้องไป แค่อึดใจเดียว
ห้องประชุมในตอนนี้ก็เงียบสงัด
ทั้งห้องเหลือแค่คนอยู่เพียงสองคนเท่านั้น แต่ไม่นานนัก
สาธุคุณรอสก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเป็นคนแรก
"ข้าคิดแล้วว่าเจ้าต้องมา แต่ผิดคาดนะ เพราะข้าคิดว่าเจ้าจะมาเร็...."
"ตูมมมมม !!" ไม่ทันที่สาธุคุณรอสจะพูดจบ
โบนก็ฟาดแขนลงบนโต๊ะทำงานหินอ่อนของอีกฝ่ายทันที
และด้วยการฟาดแค่ครั้งเดียว
โต๊ะหินอ่อนที่แกะสลักอย่างงดงาม
ก็แตกละเอียดกระจัดกระจาย
ราวกับว่ามันเป็นแค่เศษอิฐเศษดินเท่านั้น
แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะแค่ชั่วพริบตา
โบนก็คว้าหมับเข้าที่ลำคอของรอส
ก่อนที่เขาจะดันอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูง
เข้ากระแทกเข้ากับผนังที่อยู่ด้านหลังเต็มแรง
"มึงทำอะไรลงไป" โบนเค้นเสียงถามอย่างคลั่งแค้น
ย้อนกลับไป เมื่อ 4 วันก่อนหน้า
หลังจากที่เหล่าแวมไพร์ออกจากแซงจูรี่ย์ไปแล้ว
หลายชั่วโมงถัดจากนั้น
เหล่าพรีสที่ทราบข่าวต้องเร่งกลับเมืองแทบไม่ทัน
แม้แต่สาธุคุณรอสที่กำลังประชุมสำคัญกับพระราชาต่างเมือง
เขาก็ต้องยกเลิกการประชุมและรีบกลับมาในทันที
และทันทีที่เขาก้าวมาถึง ภาพที่เขาเห็นตรงหน้า
ก็ทำเขาเดือดดาดจนแทบคลั่ง
ภาพของเมือง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่สวยงาม
เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่ล้ำค่า
แต่บัดนี้สิ่งเหล่านั้นไม่มีหลงเหลืออีกต่อไปแล้ว สิ่งที่มีในตอนนี้
มันเหลือเพียงแค่ซากปรักพักพังไปทุกหย่อมหญ้า
จนเขาคิดไม่ออกเลยว่า ต้องใช้เวลานานเท่าใด
จึงจะสามารถบูรณะเมืองทั้งเมือง ให้กลับมาสวยงามได้ดังเดิม
แต่นั่นยังไม่ใช่เหตุผลใหญ่ เพราะเมืองถึงจะพังไป
แต่มันก็ยังสร้างขึ้นมาใหม่ได้ แต่ก็มีของบางอย่าง ที่มันพังไปแล้ว
แต่ก็ไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ นั่นก็คือศักดิ์ศรีของเขานั่นเอง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เมืองแซงจูรี่ย์ไม่เคยต้องระคายเคืองจากพิษสงครามใดๆเลย
แต่มาตอนนี้เมืองทั้งเมืองกลับพังพินาศไม่เหลือ แถมยังมาพินาศ
ในช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นสังฆราชสูงสุดอีกด้วย
นั่นไม่ใช่เครื่องบ่งชี้หรอกเหรอว่าเขาเป็นสังฆราชสูงสุด
ที่ไม่เอาถ่านที่สุดในประวัติศาสตร์
....... ไม่ !! เรื่องแบบนี้เขายอมไม่ได้ !! ........
และเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนครหา
สิ่งแรกที่รอสลงมือทำจึงไม่ใช่ดูแลคนเจ็บ
ไม่ใช่ฟื้นฟูบ้านเมืองที่พังทลาย แต่เป็นการเปิดศาลไตร่สวนเร่งด่วน
เพื่อคนมารับผิดชอบเรื่องทั้งหมด ........
และคนที่ถูกบูชายันต์ในคราวนี้ ก็คือ วิเวียน นั่นเอง
"วิเวียน ..... นี่คือคำพิพากษาของศาล
เจ้าได้ทำผิดในข้อหาร้ายแรง 3 ข้อหาด้วยกัน"
คุณอาจจะนึกภาพไม่ออกก็ได้ ว่าจะมีศาลที่ไหน
ที่จะตัดสินได้รวบรัดตัดตอนขนาดนี้ เพราะศาลของที่นี่
ใช้เวลาไม่ถึงวันด้วยซ้ำในการไตร่สวน และตัดสินโทษมันออกมา
"1. เจ้าทำร้ายร่างกายพรีสระดับสูง"
นี่มาจากตอนที่วิเวียนต่อยหน้าพรีสคนนั้น
เพราะบันดาลโทสะที่เขาเห็นชีวิตชาวบ้านในเมืองไม่มีค่า
"2. เจ้าละเลยหน้าที่ หนีไปจากสมรภูมิรบ"
นี่ก็มาจากตอนที่เธอทิ้งสมรภูมิหน้าโบสถ์คาดินัลล์
เพื่อไล่ตามชอลลี่ไปนั่นเอง
"3. เจ้าละเมิดคำสั่งของท่านสังฆราชสูงสุด
ที่ไม่สังหารร่างกำเนิดใหม่ของอาลูคาร์ด แถมยังนำตัวมันมา
จนเป็นต้นเหตุของความเสียหายทั้งหมด"
"จากความผิดร้ายแรงทั้ง 3 ข้อ บวกกับความรับผิดชอบ
ที่เจ้าจะต้องเป็นคนรับ จากความสูญเสียในครั้งนี้
โทษของเจ้ามีเพียงสถานเดียว"
พอพรีสตุลาการพูดเสร็จ เขาก็ใช้ค้อนไม้ทุบลงที่โต๊ะอย่างแรง
ก่อนที่จะประกาศประโยคสุดท้าย
"ประหาร !!"
ทันทีที่การตัดสินออกมา เสียงอืออึงก็ดังขึ้นไปทั่วบริเวณ
บางส่วนก็สะใจกับคำตัดสิน
แต่ในขณะที่อีกไม่น้อยที่รับไม่ได้ จนในที่สุด
ทั้งสองฝ่ายก็เปิดฉากสงครามน้ำลายใส่กันไปมา
จนศาลตุลาการเกิดความโกลาหลไปทั่ว
จนพรีสตุลาการต้องเคาะค้อนไม้
เพื่อให้ห้องอยู่ในความสงบดังมั่วไปหมด
แต่ในขณะที่ทั้งศาลโกลาหลวุ่นวาย
วิเวียนที่ตกเป็นแพะรับบาปในเหตุการณ์ครั้งนี้
กลับไม่ปริปากอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย
เธอยืนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับว่าคำพิพากษาเมื่อครู่
ไม่มีความหมายใดๆเลย ..... อันที่จริงก็ไม่ผิดนัก
เพราะไม่ว่าภาพโดยรอบจะวุ่นวายเพียงใด
เธอก็ไม่คิดจะสนใจมันแม้แต่น้อย
เพราะสิ่งที่ติดตาเธอในตอนนี้ มีเพียงภาพนายอาร์ต
ที่โดนพรีสที่เป็นพวกเดียวกับเธอ เสียบจนท้องทะลุ
และคำพูดของแวมไพร์สาวคนนั้น ที่มันยังดังก้องวนเวียนอยู่ในหัว
"เพราะเจ้า เขาถึงถูกพรีสทำร้าย"
"เพราะเจ้า ที่ดูแลเขาไม่ดี"
"ทั้งหมด มันก็เพราะเจ้าทั้งนั้น"
เมื่อถึงตอนนี้ วิเวียนก็ไม่อาจทานไหวเสียแล้ว
น้ำตาจำนวนมากไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย
พร้อมกับเสียงร่ำไห้ที่อกมาอย่างแผ่วเบา "อาร์ต......"
3 วันหลังจากนั้น
วิเวียนหลังจากโดนตัดสินประหารชีวิตไปแล้ว
เธอก็โดนนำมาขังไว้ในคุกมืดเพื่อรอเวลา
ที่นี่เธอมีสภาพเป็นแค่เพียงนักโทษคนนึง
จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับทั้งน้ำและอาหาร
อีกทั้งยังไม่มีสิทธิที่จะได้สวมเสื้อผ้าอีกด้วย ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอ
มีเพียงกุญแจมือที่เป็นเครื่องพันธนาการเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะโดนขังคุกมืด อดอาหาร
ต้องทนกับความเหน็บหนาว สิ่งต่างๆเหล่านี้
มันเทียบไม่ได้เลยกับความทุกข์ทรมานทางใจที่เธอได้รับ
ภาพที่เธอเห็นนายอาร์ตโดนทำร้าย
คำพูดของเวโรนิก้า สิ่งต่างๆเหล่านี้ยังคงตามหลอกหลอน
จนตัวเธอแทบจะทนไม่ไหวอีกแล้ว
อยากจะเร่งวันเร่งขืนให้ถึงวันประหาร
ตัวเธอจะได้หลุดพ้นจากภาพต่างๆเหล่านี้เสียที
"วิเวียน" ในขณะที่เธอกำลังจมปรักอยู่กับความเศร้า
เสียงที่คุ้นเคยบวกกับประตูห้องขังก็เปิดออก
และเพราะเธอต้องอยู่ในความมืดมิดมาเป็นเวลานาน
เมื่ออยู่ๆมีแสงเข้ามา ก็ทำเอาเธอถึงกับตาพร่า
จนต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ในการปรับแสง จนเมื่อทุกอย่างเข้าที่