ตัวเอกย้อนเวลาไปเป็นทายาทรุ่นที่สามของครอบครัวที่ร่ำรวยที่ผลิตรถแทร็กเตอร์ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส
ตัวเอกย้อนเวลาไปเป็นทายาทรุ่นที่สามของครอบครัวที่ร่ำรวยที่ผลิตรถแทร็กเตอร์ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส
บทที่ 1 การเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมทางทหารคือทางออกที่ดีที่สุด
เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1914 ตรงกับหนึ่งเดือนหลังจากที่เยอรมนีประกาศสงครามกับฝรั่งเศส กองทัพเยอรมันได้นำ ‘แผนชลีเฟิน’ มาใช้ โดยเริ่มจากตะวันตกก่อนแล้วจึงตะวันออก เพื่อบุกโจมตีเบลเยียมและรุกรานฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ ทัพหน้าของเยอรมันอยู่ห่างจากปารีสเพียงสามสิบกิโลเมตรเท่านั้น และความพยายามทั้งหมดของกองทัพฝรั่งเศสในการป้องกันทัพปีกขวาของเยอรมันก็ล้มเหลว
ปารีสตกอยู่ในอันตราย!
……
ห่างจากกรุงปารีสไปทางทิศตะวันออกประมาณสิบกิโลเมตร ในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อดาร์วัวส์ ริมแม่น้ำมาร์น
เฒ่าฟรานซิสกำลังนั่งอยู่บนโซฟาโดยสวมเสื้อผ้าอยู่ เขาถือไปป์ที่จุดไฟไว้ในมือขวา และมองดูเปลวไฟที่เต้นรำอยู่ในเตาผิงอย่างเงียบๆ ดวงตาของเขาดูว่างเปล่าและลึกล้ำ เหมือนกับว่ากำลังตัดสินใจในเรื่องที่ยากลำบาก
และที่นั่งอยู่รอบๆ เขาก็คือลูกชายสองคนของตระกูลเบอร์นาด ปิแอร์ ลูกชายคนโต และโยโควิช ลูกชายคนที่สอง
แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไร ความมืดและความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องนั่งเล่น
ท่าทีของฟรานซิสดูแข็งทื่อกว่าปกติเล็กน้อย เขาค่อยๆ ยกไปป์เข้าปากแล้วสูบเบาๆ เคราสีขาวคล้ายดาบสองเล่มของเขาเต้นรำเป็นจังหวะในแสงไฟ
ในที่สุด ปิแอร์ ลูกชายคนโตก็ทนไม่ไหว เขาจึงลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ตัดสินในเถอะ พ่อ การอยู่ที่นี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก”
“เจ้าหน้าที่รัฐได้ออกจากปารีสไปแล้ว ซึ่งมันหมายความว่าพวกเขาละทิ้งสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว และตอนนี้ทุกคนกำลังหนี มันจะสายเกินไปถ้าหากเราไม่รีบจากไป!”
โยโควิช ลูกชายคนที่สองซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขา ก็เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอนว่า
“ปิแอร์พูดถูก พ่อ พวกเราหนีไปกันเถอะ คุณหยุดกองทัพเยอรมันไม่ได้ และไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิต!”
ฟรานซิสขยับไปป์ของเขาออกไปอย่างใจเย็นและพ่นควันออกมาเป็นทางยาว ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าแต่หนักแน่นว่า
“พวกแกไม่เคยประสบกับช่วงเวลานั้นมาก่อน ตอนนั้นฉันอายุแค่ 20 ปีเท่านั้น!”
“ถึงแม้ฉันจะยังเด็ก แต่ฉันก็มีโรงงานสิ่งทอเป็นของตัวเองแล้ว ซึ่งเป็นโรงงานสิ่งทอที่ใหญ่ที่สุดในปารีส”
“พวกแกรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
“ก็เหมือนกับวันนี้ พวกเยอรมันได้บุกโจมตี และพวกมันก็เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถเอาไปได้ จากนั้นก็สวมมงกุฎที่ปารีสด้วยความภาคภูมิใจ!”
พูดถึงตรงนี้ ฟรานซิสก็ไอออกมา และโยโควิชก็ส่งแก้วน้ำให้เขาอย่างมีน้ำใจ
ปิแอร์ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าพ่อของเขากำลังพูดถึงสงครามฝรั่งเศส-เยอรมันเมื่อ 43 ปีก่อน เขาเพิ่งเกิดในตอนนั้น และแน่นอนว่าเขาไม่เคยประสบกับสิ่งนั้น แต่ชาวฝรั่งเศสทุกคนรู้เรื่องสงครามในครั้งนั้น และมองว่ามันเป็นความอัปยศ (หมายเหตุ : ชาวฝรั่งเศสเรียกสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียว่า “สงครามฝรั่งเศส-เยอรมัน”)
หลังจากนั้น ฝรั่งเศสก็ได้จ่ายเงินชดเชยถึงห้าพันล้านฟรังก์ และยกดินแดนอาลซัสและลอแรนให้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวฝรั่งเศสตั้งแต่เบื้องบนยันเบื้องล่างต่างก็มุ่งหวังที่จะเอาชนะกองทัพเยอรมัน เพื่อล้างแค้นให้กับความอัปยศอดสูในครั้งก่อน!
แต่ว่า...
“ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาตอนนี้!” ปิแอร์พูดอย่างใจร้อนว่า “ประเด็นคือพวกเยอรมันกำลังโจมตีอีกแล้ว พวกเขาจะโจมตีปารีสเหมือนครั้งที่แล้ว และยึดโรงงานของพวกเราไปอีกครั้ง!”
ฟรานซิสจิบน้ำ แล้ววางแก้วลงบนโต๊ะกาแฟข้างๆ พลางพูดอย่างใจเย็นว่า “คราวที่แล้ว ฉันละทิ้งโรงงานและหนีไป แต่ครั้งนี้ฉันตั้งใจจะยืนหยัดให้ถึงที่สุด!”
หลังสงครามฝรั่งเศส-เยอรมัน ฟรานซิสต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์อีกครั้ง และใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตในการบริหารโรงงานผลิตแทรกเตอร์ทางการเกษตรอย่างลำบาก
ปัจจุบัน โรงงานแห่งนี้มีพนักงานมากกว่า 2,000 คน และสามารถผลิตแทรกเตอร์ได้มากกว่า 500 คันต่อเดือน
นี่คือเลือดเนื้อของฟรานซิส และเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ไม่มีทาง!
ปิแอร์มองฟรานซิสด้วยความไม่เชื่อ นี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้คนมักเรียกกันว่าช่องว่างระหว่างวัย
เขาคิดด้วยซ้ำว่าพ่อของเขากล้าที่จะอยู่ต่อเพราะเขาเห็นแก่ตัว
พ่ออายุหกสามปีแล้ว เหลือเวลาชีวิตอีกไม่มาก แต่สำหรับคนหนุ่มสาวอย่างพวกเขามันไม่คุ้ม พวกเขาสามารถขายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีและสนุกกับชีวิตที่เหลือได้
โยโควิชพยายามโน้มน้าวอย่างอดทน “พ่อ ถ้าต้องตาย ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บโรงงานและเครื่องจักรเอาไว้ แม้แต่เงินก็ไม่มีความหมาย...”
ฟรานซิสแค่นเสียง “หึ” แล้วก้มหน้าลง
พวกเขาไม่เข้าใจ
เขาไม่ได้อยากได้เงินจนไม่สนชีวิต แต่นี่อาจจะเป็นโอกาส โอกาสที่จะทำให้สินทรัพย์ของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ยิ่งเสี่ยงมาก ผลตอบแทนก็จะสูงตามไปด้วย นี่เป็นกฎเกณฑ์ทางธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้ถึงเวลาที่จะเสี่ยงแล้ว!
น่าเสียดาย ที่ลูกชายทั้งสองคนของเขาไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ พวกเขาไม่มีความกล้าและวิสัยทัศน์ พวกเขามองเขาเป็นแค่ชายชราหัวแข็งคนหนึ่ง...
ตอนนี้เอง เสียงแหบพร่าของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้นมาเบาๆ
“ถ้าหากคุณฟรานซิสวางแผนจะอยู่ที่นี่ แล้วทำไมท่านถึงไม่ลองเดิมพันให้มากกว่านี้ล่ะ?”
ฟรานซิสตะลึงงัน นี่มีคนมองทะลุความคิดของเขาจริงๆ เหรอเนี่ย?
เขาหันศีรษะไปมองตามต้นเสียง เป็นหลานชายที่เขาไม่ยอมรับนั่นเอง
โยโควิชรีบหยุดเขาไว้ “เงียบซะ ชาลส์ นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่!”
โยโควิชหันมามองฟรานซิส และอธิบายอย่างระมัดระวังว่า “คามิลลาไปเยี่ยมแม่ของเธอ ดังนั้นผมจึงพาชาลส์มาด้วย...”
เมื่อสิบแปดปีก่อน โยโควิชแต่งงานกับคามิลลาที่เป็นสาวใช้คนหนึ่ง แม้ว่าฟรานซิสจะคัดค้านก็ตาม ฟรานซิสรู้สึกขุ่นเคืองมาโดยตลอดและไม่เต็มใจที่จะยอมรับการแต่งงาน
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ชาลส์เรียกฟรานซิสว่า “ท่าน” ไม่ใช่ “ปู่”
ฟรานซิสเพิกเฉยต่อโยโควิช และถามเด็กหนุ่มว่า “แล้วเธอคิดว่าเราจะเดิมพันให้มากขึ้นได้อย่างไร?”
โยโควิชจ้องมองฟรานซิสด้วยความตื่นตระหนก พ่อของเขาเอาคำพูดของชาลส์มาคิดอย่างจริงจัง
โยโควิชคิดจะพูดบางอย่าง แต่ฟรานซิสก็ใช้สายตาปรามเขาไว้ “ให้เขาพูด!”
ชาลส์ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ปูด้วยผ้าห่มก็ถอนหายใจออกมา เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับวัยของเขาเลย “ท่านครับ เท่าที่ผมทราบ ข้างๆ โรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ของท่าน มีโรงงานผลิตจักรยานยนต์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่เพิ่งเปลี่ยนมาผลิตปืนกลชั่วคราวใช่หรือไม่?”
ดวงตาของฟรานซิสสว่างขึ้นทันที “ใช่แล้ว โรงงานผลิตจักรยานยนต์”
มันเปลี่ยนมาผลิตปืนกลมาครึ่งเดือนแล้ว
หลังสงครามปะทุขึ้น รัฐบาลพบว่ากระสุนและอาวุธปืนไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในแนวหน้าได้ จึงโอนอาวุธปืนและกระสุนบางส่วนให้บริษัทเอกชนผลิตแทน ซึ่งโรงงานผลิตจักรยานยนต์เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่โชคดี ที่ได้รับคำสั่งซื้อจากรัฐบาลและการสนับสนุนด้านอุปกรณ์
ชาลส์เดินไปที่เตาผิงอย่างช้าๆ นั่งยองๆ หยิบฟืนมาสองท่อนอย่างใจเย็นแล้วพูดว่า
“ในยามสงคราม สิ่งที่ทำกำไรได้มากที่สุดก็คืออาวุธ ท่านไม่มีข้อโต้แย้งใช่หรือไม่?”
ฟรานซิสส่งเสียง “อืม” ออกมา นี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากเงินสำรองของฉันไม่เพียงพอต่อการซื้อโรงงานผลิตจักรยานยนต์และสายการผลิตปืนกล?”
เขาลังเลที่จะยอมรับถึงสภาพคล่องของตัวเองที่ไม่มีสภาพคล่องมากนัก ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่เขาหมายถึงก็ตาม
ชาลส์ไม่ได้เปิดโปงฟรานซิส แต่เขารู้ว่าโรงงานรถผลิตแทรกเตอร์กำลังเผชิญกับอะไร
เมื่อสองเดือนที่แล้ว เมื่อเกิดเสียงปืนดังขึ้นในเมืองซาราเยโว ทั่วทั้งยุโรปก็ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งสงคราม
เกษตรกรหรือเจ้าของฟาร์มไม่รู้ว่าในอนาคตที่ดินจะเป็นของใคร และไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อไปสนามรบหรือไม่ จึงไม่มีใครเต็มใจที่จะซื้อรถแทรกเตอร์มาทำการเกษตร
เมื่อรถแทรกเตอร์ไม่สามารถขายได้และคำสั่งซื้อจำนวนมากก็ถูกยกเลิก โรงงานผลิตรถแทรกเตอร์จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
การเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมทางทหารคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับฟรานซิส!
ชาลส์หันกลับมา ใบหน้าหล่อๆ ของเขาครึ่งหนึ่งสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ในขณะที่ด้านที่หันไปทางฟรานซิสเริ่มมืดลง เขาเสนอแนะว่า “ผมได้ยินมาว่าท่านมีสาขาอยู่สองแห่งทางภาคใต้ แล้วทำไมท่านไม่แลกมันล่ะ?”
ฟรานซิสรู้สึกประหลาดใจ “แม้จะรวมทั้งสองโรงงานแล้ว แต่มูลค่าของมันก็ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่ง...”
ชาลส์พูดแทรกฟรานซิสว่า “เขายินดีที่จะแลกเปลี่ยนครับท่าน นี่คือปารีส และพวกเยอรมันจะไม่รุกหน้าไปกว่านี้อีกแล้ว”
“พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ โรงงานสาขาทั้งสองแห่งทางใต้ปลอดภัย!”
ฟรานซิสเข้าใจทันทีว่าชาลส์หมายถึงอะไร
ถึงแม้โรงงานสาขาทั้งสองแห่งจะมีมูลค่าเพียงครึ่งเดียวของโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ แต่ประเด็นสำคัญคือความปลอดภัย
อะไรจะมีคุณค่าไปมากกว่าความปลอดภัยในยามสงคราม?
ฟรานซิสลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินไปที่ราวตากผ้า เพื่อหยิบหมวกทรงสูงและเสื้อโค้ตออกมา
“เอาไฟฉายมาให้ฉัน โยโควิช!”
“ฉันจะไปคุยกับชีดาชี่ ไม่อย่างนั้น ผู้ชายคนนั้นอาจจะละทิ้งโรงงานแล้วหนีไป!”
ปิแอร์ต้องการที่จะหยุดเขา แต่ฟรานซิสก็หยิบไฟฉายแล้วเดินออกไปทันที โดยไม่หันกลับมามอง
ปิแอร์และโยโควิชมองหน้ากันด้วยความงุนงง พวกเขาไม่คิดว่าพ่อของพวกเขาจะยังคงคิดเรื่องธุรกิจอยู่ในเวลานี้ และยินดีที่จะวางสินทรัพย์ปลอดภัยที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวลงบนโต๊ะพนัน
โยโควิชหันมามองชาลส์ด้วยแววตาสับสน เขาแทบจะจำลูกชายของตัวเองไม่ได้!