ตอนที่ 69:  ติดกับ
 
ถึงแม้ว่าอาจารย์หยวนจะชอบแก้วไวน์จากยุคถังเหมือนกัน แต่เขาเพิ่งได้แท่นฝนหมึกมา เขาไม่อยากแย่งประมูลแข่งกับอาจารย์ฝู
 
“อาจารย์หยวน มูลค่าของแก้วใบนี้เท่าไหร่?” อาจารย์ฝูเอ่ยถาม
 
 “แก้วไวน์พวกนี้ที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์มีมูลค่าอย่างน้อยสามแสนหยวนเมื่อสิบปีก่อน ปัจจุบันราคาคงสูงเป็นสิบเท่า ก็น่าจะประมาณสามล้านหยวน” อาจารย์หยวนกล่าว
 
ถึงแม้มันจะไม่ใช่ของที่ฮ่องเต้อู่ใช้ แต่มันก็ใช้ในวัง และสภาพของมันยังดีอยู่ มันต้องถูกใช้ในราชวงศ์อย่างแน่นอน ดังนั้นราคาของมันจึงค่อนข้างสูง
 
“ดี ถ้าอย่างนั้นฉันจ่ายให้เธอสามล้านหยวน ว่ายังไงสาวน้อย?” อาจารย์ฝูถามกู้หนิง
 
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา” กู้หนิงตอบ หลังจากตกลงซื้อขายพวกเขาก็โอนเงินโดยไม่ทำสัญญา
 
กู้หนิงไว้ใจผู้อาวุโสทั้งสอง พวกเขาไม่โกงเธออย่างแน่นอน นอกจากนี้การซื้อขายจบแล้ว ถ้าของโบราณพวกนี้ไม่ใช่ของแท้พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
 
หลังจากทุกอย่างจบลง อาจารย์หยวนและอาจารย์ฝูก็นึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญต้องทำ อาจารย์หยวนจึงถามกู้หนิงว่า
 
“เธอซื้อแก้วไวน์มาโดยบังเอิญอีกรึเปล่า?”
 
“ค่ะ” กู้หนิงตอบด้วยความสัตย์จริง
 
ทั้งอาจารย์หยวนและอาจารย์ฝูถอนหายใจยาวหลังจากได้รับคำยืนยันจากกู้หนิง แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จริงๆว่าทำไมกู้หนิงถึงรู้ว่าของโบราณชิ้นไหนเป็นของแท้ พวกเขาก็อดทึ่งกับความโชคดีของเธอไม่ได้
 
 ไม่นานกู้หนิงก็เอ่ยขอตัวกลับก่อน
 
อาจารย์ฝูตั้งใจชวนกู้หนิงทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่กู้หนิงปฏิเสธเพราะเธอมีเรื่องที่ต้องจัดการต่อ
 
ก่อนที่กู้หนิงจะจากไป อาจารย์หยวนก็ยื่นนามบัตรให้เธอ “สาวน้อย ถ้าเธอไม่ว่าอะไร เรียกฉันว่าคุณปู่หยวนเหมือนกับที่เรียกอาจารย์ฝู ถ้าเธอมีอะไรโทรหาฉันได้เสมอ และแน่นอน ถ้าเธอมีของเก่าอีกต้องให้ฉันดูคนแรกนะ แต่ฉันจะซื้อแต่ชิ้นที่ฉันชอบเท่านั้น”
 
อาจารย์หยวนต้องการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับกู้หนิง
 
 “ไม่ต้องห่วงค่ะคุณปู่หยวน ถ้าหนูมีของเก่าอีก หนูจะโทรหาคุณปู่เป็นคนแรกเลยค่ะ” กู้หนิงเอ่ยและรับนามบัตรมา
 
เธอไม่มีนามบัตรเป็นของตัวเอง เธอเลยฉีกกระดาษและใช้ปากกาเขียนชื่อเธอและเบอร์มือถือ จากนั้นก็ยื่นให้อาจารย์หยวน
 
 “เธอจะให้แต่อาจารย์หยวนไม่ได้นะ ต้องให้ฉันด้วย” อาจารย์ฝูพูดขึ้นมา
 
“ได้ค่ะ” กู้หนิงอยากจะหัวเราะ ผู้อาวุโสทั้งสองช่างตลกกันซะจริง
 
กู้หนิงจากไปแล้ว อาจารย์หยวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม “เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
 
“แน่สิ เธอตัดหินได้หยกระดับสูงตั้งสามก้อนเช้านี้ และทำเงินได้เป็นร้อยล้านหยวน!” อาจารย์ฝูเสริมขึ้นมา
 
“อะไรนะ? จะเป็นไปได้ยังไง? เธอตัดหินได้หยกตั้งสามก้อนเชียวเรอะ!” อาจารย์หยวนทึ่ง เขาไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน
 
อาจารย์ฝูไม่ได้พูดเรื่องที่กู้หนิงต้องการจะเปิดบริษัทค้าอัญมณี ถ้าเขาพูดถึง อาจารย์หยวนอาจจะช็อคตาตั้งเลยก็ได้
 
อาจารย์ฝูรู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด บริษัทของกู้หนิงยังไม่ได้จดทะเบียน มันคงไม่เหมาะที่จะพูดออกไป
 
กู้หนิงได้โทรหาคนขับรถเมื่อเธอออกมาจากถนนพนันหินและคนขับรถได้รอเธอมาชั่วโมงกว่าแล้ว แต่กู้หนิงพบกับอาจารย์หยวนและอาจารย์ฝูที่กลางทางซะก่อน ตอนนี้เธอสายไปชั่วโมงครึ่ง
 
เมื่อเธอเดินออกจากถนนขายของโบราณ เธอเห็นรถเหมือนกับรถที่ขับมาส่งเธอ เธอเดินตรงเข้าไปหา
 
แต่เมื่อเธอเปิดประตูรถ เธอก็พบว่าคนขับรถไม่ใช่คนเดิม
 
กู้หนิงยังไม่ทันได้ถามอะไร ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นก่อน “ยินดีที่ได้พบครับคุณกู้ คนขับรถของคุณเมื่อเช้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ผมเลยมาขับแทนเขาครับ”
 
กู้หนิงไม่ได้สงสัยอะไร เธอพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ จากนั้นก็เข้าไปนั่งในรถ
 
รถสตาร์ทและเคลื่อนตัวออกไป
 
ขับออกมาจากตลาดขายของเก่า รถไม่ได้ขับกลับทางเดิมในตอนแรก กู้หนิงยังไม่ได้ถามอะไร คนขับรถก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
 
“ตอนนี้ชั่วโมงเร่งด่วนครับ ทางเดิมค่อนข้างรถติด ผมก็เลยขับมาอีกทางจะได้ประหยัดเวลา อาจจะถึงโรงแรมภายในหนึ่งชั่วโมง”
 
กู้หนิงไม่ชินทางในเมือง G แต่เธอรู้ว่าชั่วโมงเร่งด่วนนั้นรถติดมากขนาดไหน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เอะใจกับคำอธิบายของคนขับรถ
 
ก็อย่างที่คนขับรถบอก เขาเลือกเส้นทางที่รถติดน้อยที่สุด
 
แต่ยี่สิบนาทีถัดมา รถก็ขับไปยังตรอกแคบๆ กู้หนิงพลันตระหนักว่าต้องมีสิ่งผิดปกติ
 
เธอเอื้อมมือไปกำคอคนขับรถ และเอ่ยเสียงเย็น “หยุดรถ”
 
คนขับรถไม่คิดว่ากู้หนิงจะรู้ตัวเร็วแบบนี้ และเธอก็แข็งแรงมาก เมื่อคอของเขาถูกกำไว้ เขาหายใจลำบาก เขาจึงหยุดรถโดยอัตโนมัติ
 
“พูด! ใครเป็นคนส่งแกมา?” กู้หนิงถาม
 
คนขับรถไม่ตอบคำถามของเธอ เขายังไม่พูดอะไรก็มีผู้ชายหลายคนที่อยู่ห่างออกไปสองเมตรวิ่งเข้ามายังรถ
 
กู้หนิงหงุดหงิด เธอจึงใช้สันมือกระแทกให้คนขับรถหมดสติ
 
“เด็กคนนั้นเพิ่งทำให้คนขับรถหมดสติ?” ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้ารถเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างในรถ เขาพูดออกมาอย่างแปลกใจ
 
 “อะไรนะ?” ผู้ชายอีกคนก็อดแปลกใจไม่ได้ เด็กสาววัยรุ่นน็อคผู้ชายตัวโตให้สลบได้?
 
“ไปเอาตัวผู้หญิงออกมา!”
 
พวกเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้ กู้หนิงก็เปิดประตูรถลงมาเอง พลังของเธอมีเต็มเปี่ยม เธอไม่กลัวผู้ชายที่อยู่ข้างนอกทั้งหมด
 
กู้หนิงก้าวขาออกมา ผู้ชายคนที่จะเข้าไปดึงตัวเธอออกมาก็ชะงัก
 
เมื่อเห็นใบหน้ากู้หนิง ผู้ชายทั้งหมดก็ตกตะลึงกับความสวยของเธอ
 
ช่างเป็นเด็กที่สวยคนหนึ่ง!
 
กู้หนิงมองพวกผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างเย็นชา พวกเขามีอายุระหว่างยี่สิบถึงสามสิบปี และท่าทางเหมือนพวกอันธพาล
 
พวกเขาต้องเป็นแก๊งค์อันธพาลแน่ กู้หนิงคิดในใจ
 
ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าอายุน่าจะประมาณสามสิบปี เขาเป็นชายร่างใหญ่สวมเสื้อยืดสีดำและกางเกงหลวมๆ เขาดูเป็นคนหัวรุนแรง ถ้าหากคนธรรมดาเห็นเขาคงจะหวาดกลัวอย่างมาก แต่กู้หนิงไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอไม่กลัวกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มนี้เลยสักนิด
 
“ลี่เจินเจินส่งพวกแกมาใช่ไหม?”
 
คนเดียวที่กู้หนิงทำให้ไม่พอใจในเมือง G คือลี่เจินเจิน เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเธอ
 
ตอนที่ 70: วิธีของผู้หญิง
 
ได้ยินแบบนั้น กลุ่มอันธพาลก็นิ่งไป พวกเขาแปลกใจที่กู้หนิงรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง
 
พวกเขาเข้าใจได้ทันทีว่ากู้หนิงต้องมีเรื่องกับลี่เจินเจินเมื่อเร็วๆนี้ ไม่อย่างนั้นกู้หนิงจะรู้ได้อย่างไร
 
ดังนั้นชายที่เป็นหัวหน้าก็ไม่บิดบังอีกต่อไป
 
“สาวน้อย ในเมื่อเธอรู้แล้วว่าเธอทำให้ใครไม่พอใจ เธอก็น่าจะพอรู้ว่าตัวเธอได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดมหันต์ พวกเรามาที่นี่วันนี้เพื่อสั่งสอนเธอ ต้องขอโทษด้วย”
 
เมื่อรู้อย่างนั้นกู้หนิงก็ดูแคลนลี่เจินเจิน เธอไม่เคยแม้แต่จะปิดบังตัวตน
 
ดูเหมือนว่าเธอจะมั่นใจมากว่าจะทำสำเร็จ
 
แน่นอนว่าลี่เจินเจินย่อมมั่นใจเพราะเธอเชื่อว่ากู้หนิงคงทำได้เพียงตะคอกใส่กลุ่มชายฉกรรจ์
 
“โอ้ ในเมื่อพวกแกรู้แล้วว่าไม่ควรมีเรื่องกับคนที่ต่อกรได้ พวกแกไม่กลัวว่าจะมีเรื่องกับฉันหน่อยเหรอ?” กู้หนิงเอ่ยถาม เธอดูไม่กลัว
 
ได้ยินแบบนั้น เหล่าอันธพาลต่างนิ่งไปอึดใจก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
 
“สาวน้อย เธอรู้รึเปล่าว่าพวกเราเป็นใคร? พวกเรามากจากแก๊งค์ฉิง แก๊งฉิงยังไงล่ะ! เคยได้ยินรึเปล่า? พวกเราเป็นหนึ่งในสองแก๊งค์ที่ใหญ่ที่สุด และเธอไม่อาจต่อกรพวกเราได้” พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
 
กู้หนิงรู้สึกกังวล เธอคาดไม่ถึงว่าพวกมันจะมาจากแก๊งค์กังฉิง
 
ช่างมันเถอะ ในเมื่อพวกมันมาหาเรื่องเธอก่อน กู้หนิงตัดสินใจจะสู้กับพวกมัน
 
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่อยากเชื่อว่าคนที่เป็นหัวหน้าแก๊งค์จะเป็นคนที่ไร้เหตุผล ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาจะเป็นหัวหน้าได้ยังไง? เขาจะสามารถปกครองลูกน้องของเขาได้ยังไง?
 
“ฉันไม่ต้องการล้างแค้น” กู้หนิงเม้มปากแล้วพูดเบาๆ เหล่าอันธพาลคิดว่าเธอหวาดกลัว กู้หนิงก็พูดต่อว่า “เพราะพวกแกไม่สามารถเอาชนะฉันได้”
 
จากนั้นกู้หนิงก็โจมตีพวกเขาก่อน เธอพุ่งเข้ามาและเตะไปที่ชายโครงอันธพาลคนหนึ่ง
 
กู้หนิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นอันธพาลคนนั้นจึงไม่มีเวลาตอบโต้กลับได้ทัน เขาถูกเธอเตะเข้าที่ชายโครงด้านขวา เขาถูกเตะเสยขึ้นกลางอากาศเหมือนถูกของหนักตี และร่วงลงพื้นร้องตะโกนโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
 
ชายสามคนเบิกตากว้างเท่าไข่ห่านด้วยความตกใจ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น? พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง หรือว่าพวกเขากำลังฝันไป?
 
กู้หนิงไม่สนว่าพวกอันธพาลจะคิดยังไง เธอพุ่งโจมตีชายอีกคน
 
ถึงแม้อันธพาลคนที่สองจะสังเกตเห็นกู้หนิงกำลังพุ่งเข้ามา เขาก็ยังถูกกำปั้นชกเข้าที่แก้มขวาก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว อันธพาลคนที่สองร่วงลงพื้นกระอักเลือดและมีฟันหลายซี่หลุดออกมา
 
อันธพาลอีกสองคนเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่พวกเขาไม่ต้องการวิ่งหนีเหมือนคนขี้ขลาดตาขาว ดังนั้นพวกเขาจึงเงื้อกำปั้นขึ้นมาวิ่งเข้าใส่กู้หนิง
 
 
กู้หนิงถอยหลังหลบและเขวี้ยงกระเป๋าเป้ใส่ชายคนที่ชกเธอ เขาถูกกระเป๋าตีเข้าที่หัวอย่างแรง และเซไปกระแทกกับกำแพงที่อยู่ใกล้
 
กู้หนิงใช้กระเป๋าเป้ตีอันธพาลคนสุดท้าย แต่เขาหนีได้ทัน
 
อย่างไรก็ตาม กู้หนิงก็ใช้ขาเตะเข้าที่หน้าแข้งของเขา ชายคนสุดท้ายเสียการทรงตัวแล้วทรุดเข่าลงพื้น
 
“ชิ นี่แกกำลังจะขอฉันหรอ? โทษทีนะ คนอย่างแกไม่คู่ควรกับฉันหรอก!” กู้หนิงล้อเลียนให้เขาอับอาย
 
จากนั้นเธอก็ใช้กระเป๋าเป้ตีซ้ำไปที่ศีรษะของเขา เขาไม่อาจหลบเลี่ยงและร่วงลงไปนอนบนพื้น
 
อันธพาลทั้งสี่คนถูกกู้หนิงล้มจนร่วงลงไปนอนกองบนพื้นภายในเวลาไม่กี่นาที ถึงแม้พวกเขาจะไม่ถูกตีจนพิการ พวกเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก
 
กู้หนิงยังไม่จากไปทันที เธอเดินเข้าไปหาคนที่เป็นหัวหน้า
 
“แก อะไร แกต้องการจะทำอะไร...” คนที่เป็นหัวหน้าหวาดกลัว เขาอยากจะหนีออกไปจากที่นี่แต่ไม่สามารถยืนขึ้นได้
 
กู้หนิงไม่ตอบคำถามของเขา เธอหยิบเอามือถือขึ้นมาจากพื้นและถามว่า
 
“ลี่เจินเจินโทรหาแกใช่ไหม?”
 
“ใช่ ใช่” เขาตอบกลับอย่างไว
 
จากนั้นกู้หนิงก็กดเปิดมือถือ เช็ครายการโทรล่าสุด มีชื่อลี่เจินเจินจริงด้วย โทรครั้งสุดท้ายบ่ายสองสิบห้า ก็เจ็ดนาทีก่อนหน้า
 
“ลี่เจินเจินต้องการให้พวกแกทำอะไรกับฉัน? ค่าจ้างเท่าไหร่?”
 
“เธอ เธอต้องการให้พวกเราข่มขืนและถ่ายวีดิโอโพสลงในอินเทอร์เนต เธอจ่ายพวกเราหนึ่งแสนหยวน” เขาตอบ
 
กู้หนิงหัวเราะเยาะแต่ใบหน้าของเธอเย็นชาราวกับจะฆ่าคนได้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ
 
ข่มขืน! ช่างเป็นวิธีที่ผู้หญิงมักใช้กำจัดคนอื่นซะจริง จ้าวเฟยเฟยก็ทำมันก่อนหน้านี้แล้ว กู้หนิงสันนิษฐานว่าถ้าหากในอนาคตเธอมีเรื่องกับผู้หญิงอีก บางทีพวกเธอก็อาจจะทำแบบเดียวกัน
 
เธอไม่สงสัยเลย
 
จ้าวเฟยเฟยจ่ายไม่กี่พันหยวนในขณะที่ลี่เจินเจินจ่ายหนึ่งแสน ศักด์ศรีความเป็นผู้หญิงของกู้หนิงมีค่าแค่หนึ่งแสนหยวนเท่านั้นหรือ?
 
ไม่ ศักด์ศรีของเธอนั้นประเมินค่าไม่ได้
 
ครั้งนี้กู้หนิงไม่อาจให้อภัยลี่เจินเจินได้
 
ถึงแม้ว่าจ้าวเฟยเฟยจะเคยทำแบบเดียวกันกับเธอ จ้าวเฟยเฟยไม่อาจข่มขู่เธอได้ เธอได้ลงโทษจ้าวเฟยเฟยแบบเบาะๆไปแล้ว แต่สำหรับลี่เจินเจินที่ขอให้แก๊งฉิงช่วยซึ่งมันเป็นปัญหาใหญ่ กู้หนิงไม่พอใจมาก
 
เธอใช้มือถือของเขาโทรกลับหาลี่เจินเจิน
 
ในขณะนั้นลี่เจินเจินกำลังรับประทานอาหารกับฉินอี้ฟานในร้านอาหารสุดหรู บรรยากาศกำลังไปได้ดี
 
“อี้ฟาน ฉันได้ยินมาว่ามีหนังชื่อ ‘Growing Up Together’ ที่กำลังดังมากๆ ทำไมพวกเราไม่ไปดูด้วยกัน?” ลี่เจินเจินเอ่ยชวนฉินอี้ฟานด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
 
เธอต้องการดูหนังกับเขาเพราะมีจุดประสงค์
 
หนังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคู่รักที่เติบโตมาด้วยกันแต่เยาว์วัย เธอและฉินอี้ฟานต่างก็เติบโตมาด้วยกันเช่นเดียวกัน
 
ดังนั้นลี่เจินเจินจึงตั้งใจใช้หนังเพื่อสื่อถึงความรู้สึกของเธอที่มีต่อฉินอี้ฟาน
 
ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ลี่เจินเจินบอกความรู้สึกของเธอต่อฉินอี้ฟาน และเธอก็ถูกเขาปฏิเสธมาหลายครั้ง เธอได้แต่พยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเธอรักเขา
 
มากไปกว่านั้นการแต่งงานของทั้งคู่จะสามารถช่วยอุปถัมภ์ตระกูลลี่อย่างมาก