“สามหมื่นหยวน? ล้อเล่นรึเปล่า? ฉันให้เธอห้าหมื่นหยวนเลยสาวน้อย!”
 
“หกหมื่นหยวน” ชายอีกคนเสนอขึ้นมา
 
“เจ็ดหมื่นหยวน”
 
“แปดหมื่นหยวน”
 
“หนึ่งแสนสองหมื่นหยวน”
 
ทุกคนในร้านตกตะลึง หนึ่งแสนสองหมื่นหยวนสำหรับกำไลลายครามจากราชวงศ์หมิงและชิงนั้นดูจะมากเกินไป
 
กู้หนิงเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอขายของเก่า เธอรู้ว่าของโบราณนั้นราคาสูง แต่ด้วยราคาขนาดนี้เธอเองยังตกใจ
 
เธอคิดราคาไว้ที่สี่หมื่นหยวนเท่านั้น เพราะว่าพลังจากกำไลชิ้นนี้ยังไม่มาก มันไม่คุ้มหากต้องจ่ายในราคาสูงขนาดนี้เพียงเพราะมันมีประวัตินิดหน่อย
 
หนึ่งแสนสองหมื่นสำหรับกู้หนิงในชาติก่อนดูเป็นเงินจำนวนน้อยนิด แต่สำหรับเธอในตอนนี้มันเป็นเงินจำนวนมหาศาล
 
กู้หนิงขายกำไลไปในราคาหนึ่งแสนสองหมื่นหยวน
 
แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกตกใจกับราคาที่สูงขนาดนี้ มีผู้เชี่ยวชาญเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่ากำไลนี้มีค่ามากกว่าในตลาด
 
กำไลทำจากกระเบื้องลายครามในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศชิง ถึงแม้จะมาจากกระเบื้องแตก แต่ก็ยังมีราคาสูง
 
ปัจจุบันกำไลที่ทำจากกระเบื้องลายคราม มีมูลค่าถึงหลายล้านหยวน ราคาของกำไลนี้ไม่ควรต่ำกว่าสองแสนหยวนในตลาด
 
ถึงแม้กู้หนิงจะไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ และไม่รู้ราคาที่แท้จริงของมัน แต่เธอไม่เสียดาย
 
ตอนนี้เธอต้องการเงิน และไม่มีเวลามากพอที่จะรอคนซื้อราคาระดับนั้นได้
 
นอกจากนี้เธอไม่รู้ว่าจะเอากำไลนี้ไปขายที่ไหนอีกในตลาด
 
ในตลาดมีธนาคารเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการเงินด่วน พวกเธอจึงไปยังธนาคาร
 
กู้หนิงไม่มีบัตรธนาคาร แต่มีบัตรประชาชน ดังนั้นเธอจึงเปิดบัญชีไปด้วยเลย
 
เมื่อเธอรับเงินมา เธอจึงส่งกำไลให้กับผู้ซื้อและจ่ายค่าบริการให้กับผู้ประเมินของเก่า
 
ค่าบริการมีตั้งแต่หลายร้อยจนถึงหลายพัน ขึ้นอยู่กับผู้ขายจะขายได้เท่าไหร่
 
กู้หนิงทำเงินได้ไม่มากนัก ดังนั้นเธอจึงจ่ายเพียงสองพันหยวนเท่านั้น
 
แต่กู้หนิงใจดี เธอจึงจ่ายค่าบริการไปหนึ่งหมื่นหยวน
 
เมื่อเธอออกมาจากธนาคาร กู้หนิงรู้สึกว่าเธอตกเป็นเป้าหมาย
 
ในตรอกขายของเก่านี้เป็นสถานที่ไม่ปลอดภัย เป็นเรื่องปกติที่เธอจะกลายเป็นเป้าหมายของใครบางคนทันทีที่เธอได้รับเงินจำนวนมาก
 
นาทีที่เธอออกมาจากตลาดขายของเก่า มีผู้ชายหลายคนเดินตามเธอมา
 
นักเลงทั้งสี่คนอายุราวๆยี่สิบ ยืนล้อมกู้หนิงเอาไว้
 
ผู้คนต่างพากันวิ่งหนีด้วยความกลัว ไม่มีใครอยากเข้ามาช่วย
 
“ส่งเงินแกมาให้หมด หรือจะให้ฉันสั่งสอนแก” หัวหน้าพวกนักเลง คนที่ย้อมผมเป็นสีเหลืองตะโกนใส่กู้หนิง
 
“โอ้ งั้นเหรอ ยังไงล่ะ?” กู้หนิงหรี่ตามอง เหมือนเธอไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด
 
บรรดาคนมุงดูต่างพากันแปลกใจที่เห็นกู้หนิงยังยืนนิ่งสงบ
 
เธอไม่กลัวเลยหรอ? หรือเธอแกล้งทำ? หรือเธอคิดว่าจะมีใครสักคนเข้ามาช่วย?
 
แถวนี้มีแต่นักเลง ไม่มีพลเมืองดีคนไหนกล้าเข้ามายุ่งแน่
 
“คิดว่าจะมีคนมาช่วยแกงั้นเหรอ จะบอกอะไรให้นะ ไม่ใครกล้าเข้ามายุ่งหรอกเว้ย เพราะฉะนั้นส่งเงินมาซะ” ชายผมเหลืองขู่เธออีกครั้ง
 
กู้หนิงรู้ดีว่าไม่มีใครเข้ามาช่วยเธอหรอกเพราะทุกคนวิ่งหนีไปหมดแล้ว แต่เธอมั่นใจว่าตัวเธอสามารถล้มพวกคนเลวนี้ได้
 
“มาเอาไปเองสิ ถ้าแกอยากได้” กู้หนิงท้าทาย
 
“บ๊ะ นังนี่” พวกนักเลงพากันหงุดหงิด
 
“จัดการนังนั่นซะ!” ผู้ชายผมเหลืองออกคำสั่ง
 
ถัดมานักเลงสองคนวิ่งเข้าไปหากู้หนิง พยายามที่จะจับตัวเธอไว้
 
ก่อนที่พวกมันจะเข้าใกล้เธอ กู้หนิงเตะไปที่ท้องชายคนแรก เขาทรุดลงไปนั่งที่พื้นด้วยความเจ็บปวด
 
จากนั้นกู้หนิงหันไปหาชายอีกคน และต่อยเขาอย่างแรงที่หลัง
 
นักเลงที่เหลืออีกสองคนยืนตะลึงอยู่กับที่ด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเด็กสาวธรรมดาๆจะเตะต่อยเก่งขนาดนี้
 
ทันใดนั้นเองมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาโจมตีชายหัวเหลือง ชายหัวเหลืองล้มลงทันที
 
นักเลงที่เหลืออยู่หนึ่งคนวิ่งหนีไปทันที แต่โชคร้ายที่เขาวิ่งเร็วเกินไปไม่ทันสังเกตว่ามีเสาอยู่ข้างหน้า เขาจึงวิ่งชนเสาอย่างจัง
 
กู้หนิงระเบิดเสียงหัวเราะที่เห็นฉากตลกๆ
 
เด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าไปต่อยนักเลงหัวเหลืองวิ่งมาหากู้หนิง เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “กู้หนิง เธอจริงๆด้วย! ฉันนึกว่าฉันมองผิด ว้าง เธอเก่งนะเนี่ยที่ล้มผู้ชายตั้งสองคนได้!”
 
กู้หนิงรู้จักเขา เขาเรียนอยู่ ม.6 ห้องคิง เขามีชื่อว่ามู่เค่อ
 
มู่เค่อสูงเกือบ 5 '11 " เป็นหนุ่มหน้าตาดี
 
กู้หนิงและมู่เค่ออยู่คนละห้อง เธอรู้จักมู่เค่อเพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทของฉินเจิ้ง มู่เค่อยังรู้ความจริงเบื้องหลังความสัมพันธ์ระหว่างเธอและฉินเจิ้งอีกด้วย
 
แต่มู่เค่อแตกต่างจากเพื่อนของเขา เขาเป็นคนดี และเป็นคนบอกเธอว่าฉินเจิ้งไม่ใช่มิสเตอร์ไรท์สำหรับเธอ
 
แต่ตอนนั้นกู้หนิงรักฉินเจิ้งมาก เธอไม่ฟังคำเตือนจากใคร
 
เมื่อคิดได้อย่างนี้ กู้หนิงก็มองมู่เค่อในแง่ดี
 
“ขอบใจนายมาก มู่เค่อ” กู้หนิงยิ้มให้มู่เค่อและกล่าวขอบคุณเขา
 
ถึงแม้เธอจะสามารถจัดการพวกนักเลงทั้งหมดด้วยตัวเองได้ มู่เค่อก็ยังมาช่วยเธอ เธอขอบคุณเขาสำหรับสิ่งนั้น
 
กู้หนิงเป็นคนสวย แต่ที่เธอดูไม่เด่น เพราะเธอไม่ได้สนใจดูแลรูปลักษณ์ภายนอกตัวเองมากนัก
 
รอยยิ้มของกู้หนิงทำให้มู่เค่อหน้าแดง
 
“ด้วยความยินดี ฉันคิดว่าต่อให้ฉันไม่ช่วยเธอ พวกมันก็ไม่มีทางทำอะไรเธอได้” มู่เค่อรู้สึกเขินนิดหน่อยเมื่ออยู่ต่อหน้ากู้หนิง
 
“ยังไงก็เถอะ ขอบคุณนายมากที่ช่วยฉัน” กู้หนิงพูด
 
มู่เค่อเกือบลืมเรื่องสำคัญ เขามองไปที่กู้หนิงแล้วถอนหายใจ “ฉันได้ยินมาว่าเธอเลิกกับฉินเจิ้งแล้วเมื่อวันศุกร์ แล้วเธอก็ถูกรถชน ตอนนี้เธอเป็นไงบ้าง?” มู่เค่อไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายความรู้สึกกู้หนิง เขาเป็นห่วงเธอจริงๆ ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ที่นั้นด้วยเพียงแต่ได้ยินมา เขาคิดว่าเป็นความผิดของฉินเจิ้งแต่เขาไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเพื่อน